วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ปวดสะโพก!!! โรค Trochanteric Bursitis คืออะไร?

ปวดสะโพก!!!

โรค Trochanteric Bursitis คืออะไร?

Trochanteric Bursitis หรือโรคการอักเสบของถุงน้ำบริเวณสะโพก เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีการใช้งานสะโพกหนัก หรือมีการบาดเจ็บบริเวณสะโพก ถุงน้ำนี้มีหน้าที่ช่วยลดการเสียดสีระหว่างกระดูกต้นขาและกล้ามเนื้อ แต่เมื่อเกิดการอักเสบจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บบริเวณด้านข้างของสะโพกและอาจร้าวลงไปที่ต้นขาได้

อาการของ Trochanteric Bursitis

ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีอาการหลักๆ ดังนี้:

1. ปวดบริเวณด้านข้างของสะโพก – มักจะรู้สึกปวดเมื่อสัมผัสหรือกดที่บริเวณสะโพกด้านนอก

2. ปวดขณะนอนตะแคงข้างที่มีการอักเสบ – ทำให้การนอนอาจไม่สบายและรบกวนการพักผ่อน

3. เจ็บขณะเดินหรือขึ้นลงบันได – บางครั้งอาการปวดอาจร้าวลงไปถึงต้นขา

4. ข้อสะโพกฝืดหรือขยับลำบาก – โดยเฉพาะหลังจากนั่งหรือนอนนานๆ

สาเหตุของการเกิด Trochanteric Bursitis

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคนี้มีหลายปัจจัย เช่น:

• การบาดเจ็บบริเวณสะโพก เช่น การหกล้มหรือกระแทก

• การใช้งานสะโพกมากเกินไป เช่น การเดิน วิ่ง หรือยืนนานๆ

• กล้ามเนื้ออ่อนแอหรือไม่สมดุล ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงกดที่ข้อสะโพกมากขึ้น

• ภาวะโรคข้ออักเสบ เช่น โรคข้อเสื่อมหรือโรครูมาตอยด์

• โครงสร้างร่างกายผิดปกติ เช่น ขายาวไม่เท่ากัน

วิธีการวินิจฉัย

การวินิจฉัย Trochanteric Bursitis ทำได้โดยการตรวจร่างกายและประวัติอาการของผู้ป่วย ซึ่งแพทย์จะกดที่บริเวณสะโพกด้านนอกเพื่อดูความเจ็บ และอาจให้ผู้ป่วยทำท่าทางบางอย่างเพื่อประเมินความฝืดของข้อ นอกจากนี้ อาจใช้การถ่ายภาพรังสีหรือ MRI เพื่อแยกแยะโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกัน เช่น โรคข้อสะโพกเสื่อม

วิธีการรักษา

1. พักผ่อนและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เจ็บ

• ลดการใช้งานสะโพก เช่น หลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินนานๆ หรือการนอนทับข้างที่มีการอักเสบ

2. การประคบเย็น

• ใช้การประคบเย็นที่สะโพกเพื่อลดอาการปวดและการอักเสบ ทำประมาณ 10-15 นาที หลายครั้งต่อวัน

3. การทานยา

• ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟน ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ

4. กายภาพบำบัด

• การทำกายภาพบำบัดเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณสะโพกและต้นขา เช่น การออกกำลังกายเสริมกล้ามเนื้อสะโพกและการยืดกล้ามเนื้อ

5. ฉีดยาสเตียรอยด์

• ในกรณีที่อาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนำการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าที่ถุงน้ำเพื่อบรรเทาการอักเสบ

6. การผ่าตัด

• ในกรณีที่รักษาด้วยวิธีการอื่นๆ ไม่ได้ผล อาจต้องพิจารณาการผ่าตัดเพื่อนำถุงน้ำออก แต่เป็นทางเลือกสุดท้าย

การป้องกันการเกิด Trochanteric Bursitis

• หลีกเลี่ยงการใช้งานสะโพกหนักๆ เช่น การวิ่งหรือเดินนานๆ

• เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสะโพกและขาเพื่อช่วยพยุงข้อสะโพก

• สวมรองเท้าที่เหมาะสม เพื่อลดแรงกระแทกที่ข้อสะโพก

• หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงข้างที่มีการอักเสบ และอาจใช้หมอนเสริมเพื่อลดแรงกดทับที่สะโพก

สรุป

Trochanteric Bursitis เป็นภาวะอักเสบที่พบได้บ่อย และสามารถรักษาได้ง่ายหากดูแลและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การพักผ่อน การทำกายภาพบำบัด และการใช้ยา สามารถช่วยบรรเทาอาการและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ก้อนซีสต์ที่ข้อมือคืออะไร?

ก้อนซีสต์ที่ข้อมือคืออะไร? รู้จักและเข้าใจปัญหานี้!

หลายคนอาจเคยพบเจออาการปวดที่ข้อมือหรือสังเกตว่ามีก้อนนูนขึ้นมาในบริเวณข้อมือ จนทำให้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเรา ก้อนซีสต์ที่ข้อมือ หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า Ganglion Cyst เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย และมักทำให้เกิดความกังวลใจไม่มากก็น้อย ในบทความนี้ ผมจะพาทุกคนมารู้จักและเข้าใจว่าเจ้าก้อนนี้คืออะไร เกิดจากอะไร อันตรายไหม และควรจัดการอย่างไรเมื่อเจอปัญหานี้

ก้อนซีสต์ที่ข้อมือคืออะไร?

ก้อนซีสต์ที่ข้อมือ คือก้อนที่เกิดจากการสะสมของของเหลวภายในข้อต่อหรือปลอกหุ้มเอ็น (tendon sheath) ของมือและข้อมือ ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนนุ่มๆ ที่สามารถเคลื่อนที่ได้เมื่อสัมผัส ของเหลวที่อยู่ภายในก้อนซีสต์คือของเหลวข้นและเหนียวที่มีความคล้ายคลึงกับน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อ (synovial fluid) ซึ่งเป็นน้ำที่มีหน้าที่หล่อลื่นและป้องกันข้อต่อและเอ็นจากการเสียดสี

สาเหตุของการเกิดก้อนซีสต์ที่ข้อมือ

แม้ว่าจะยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดก้อนซีสต์ที่ข้อมือ แต่มีหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบาย หนึ่งในนั้นคือการที่ของเหลวหล่อเลี้ยงข้อต่ออาจรั่วออกจากข้อต่อหรือปลอกเอ็น เมื่อเกิดแรงดันที่สูงขึ้นในบริเวณเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นจากการใช้งานมือที่มากเกินไป การบาดเจ็บ หรือการอักเสบ ก็อาจทำให้เกิดซีสต์ได้

กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดก้อนซีสต์ที่ข้อมือ คือผู้ที่ใช้งานข้อมือและมือหนักๆ เช่น พนักงานที่ต้องพิมพ์งานคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน นักดนตรี หรือช่างที่ต้องใช้มือในการทำงานอย่างต่อเนื่อง

อาการของก้อนซีสต์ที่ข้อมือ

ก้อนซีสต์ที่ข้อมือมักจะเกิดเป็นก้อนนูนที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนหรือสามารถคลำได้เมื่อสัมผัส โดยก้อนซีสต์นี้มักมีลักษณะนุ่มและเคลื่อนที่ได้ บางคนอาจไม่มีอาการปวดหรือความไม่สบาย แต่บางคนอาจรู้สึกปวดเมื่อมีการเคลื่อนไหวข้อมือหรือเมื่อกดทับบนก้อนซีสต์ บางครั้งก้อนซีสต์นี้สามารถส่งผลให้การใช้งานมือหรือข้อมือไม่สะดวก หรืออาจทำให้รู้สึกอึดอัดเมื่อทำกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อมือมากๆ

ก้อนซีสต์ที่ข้อมืออันตรายไหม?

หนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัยเมื่อเจอก้อนซีสต์ที่ข้อมือคือ “มันอันตรายไหม?” คำตอบก็คือ ก้อนซีสต์ที่ข้อมือส่วนใหญ่ไม่ใช่ก้อนเนื้อร้าย และไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายที่ร้ายแรง แต่ก็สามารถทำให้เกิดความไม่สบายและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้

บางครั้งก้อนซีสต์อาจหายไปได้เองโดยไม่ต้องทำการรักษา แต่อาจมีบางกรณีที่ก้อนซีสต์กลับมาใหม่หรือมีขนาดใหญ่ขึ้นหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม

วิธีการรักษาก้อนซีสต์ที่ข้อมือ

การรักษาก้อนซีสต์ที่ข้อมือสามารถทำได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับขนาดของซีสต์ อาการ และผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วย โดยมีแนวทางการรักษาดังนี้:

1. การสังเกตอาการ (Watchful Waiting): สำหรับผู้ที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือมีความไม่สะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน แพทย์อาจแนะนำให้สังเกตอาการไปก่อน เนื่องจากบางครั้งก้อนซีสต์สามารถหายไปได้เอง

2. การดูดน้ำออกจากซีสต์ (Aspiration): หากก้อนซีสต์มีขนาดใหญ่และทำให้เกิดความไม่สบาย แพทย์อาจทำการดูดน้ำออกจากก้อนเพื่อช่วยลดขนาด อย่างไรก็ตาม ก้อนซีสต์อาจกลับมาใหม่ได้ในบางกรณี

3. การผ่าตัด (Surgical Removal): หากก้อนซีสต์มีขนาดใหญ่ ทำให้เกิดความเจ็บปวด หรือกลับมาใหม่หลายครั้ง แพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดเอาก้อนซีสต์ออก ซึ่งเป็นวิธีที่มีโอกาสที่ซีสต์จะกลับมาได้น้อยกว่าวิธีการอื่นๆ

4. การปรับพฤติกรรมการใช้งานข้อมือ: การปรับพฤติกรรมในการใช้งานข้อมือ เช่น หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่ทำให้ข้อมือเกิดแรงดันมากเกินไป อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดซีสต์ใหม่หรือการกลับมาใหม่ของซีสต์

ควรพบแพทย์เมื่อใด?

หากคุณพบว่ามีก้อนซีสต์ที่ข้อมือ และมีอาการดังต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและวินิจฉัย:

• ก้อนซีสต์มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

• มีอาการปวดที่รุนแรง หรือรู้สึกว่าข้อมือใช้งานไม่ได้ตามปกติ

• ซีสต์มีสีแดงหรือมีอาการอักเสบ

• ซีสต์ไม่หายหรือกลับมาใหม่หลังการรักษา

ป้องกันการเกิดก้อนซีสต์ที่ข้อมือได้อย่างไร?

แม้ว่าการป้องกันการเกิดก้อนซีสต์ที่ข้อมืออาจทำได้ยาก แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้โดยการดูแลข้อมือและการใช้งานที่เหมาะสม เช่น หลีกเลี่ยงการทำงานที่ใช้ข้อมือหนักๆ เป็นเวลานาน หรือใช้เครื่องป้องกันข้อมือหากต้องทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงในบริเวณนั้นเป็นพิเศษ

สรุป

ก้อนซีสต์ที่ข้อมือแม้จะไม่ใช่อาการที่อันตรายมาก แต่ก็สามารถรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ ถ้าหากมีก้อนที่ข้อมือและรู้สึกไม่สบาย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบและรับคำแนะนำในการดูแลรักษา อย่าลืมว่าการดูแลสุขภาพข้อมือและมือให้แข็งแรงจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหานี้ได้

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

โทร 0815303666

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ปวดนิ้ว!!!!

ปวดนิ้ว!!!!

“เมื่ออาการปวดนิ้วไม่ธรรมดา: เรื่องราวของ Glomus Tumor”

หลายคนคงเคยเจอปัญหานิ้วปวด ไม่ว่าจะเกิดจากการทำงานหนักหรืออุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หากคุณเคยมีอาการปวดนิ้วที่รุนแรงมาก รู้สึกเหมือนมีเข็มแทง โดยเฉพาะเวลาสัมผัสกับของเย็น หรือกดใช้งานนิ้ว อาจมีโอกาสที่คุณกำลังเผชิญกับ Glomus Tumor อาการที่หลายคนอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่มันสามารถสร้างความทรมานให้กับชีวิตประจำวันได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว

Glomus Tumor คืออะไร?

Glomus Tumor เป็นเนื้องอกชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นบริเวณปลายนิ้ว โดยเฉพาะใต้เล็บของเรา ซึ่งเนื้องอกนี้เป็นชนิดที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต มันไม่ใช่เนื้องอกที่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ แต่ปัญหาคืออาการปวดที่มาพร้อมกับมัน ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายหรือทรมานจากอาการปวดแบบเฉียบพลัน ซึ่งอาการเหล่านี้ทำให้การใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การหยิบจับสิ่งของ การพิมพ์งาน หรือแม้แต่การสัมผัสสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ กลายเป็นเรื่องยาก

เนื้องอกชนิดนี้มาจากกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า Glomus Body ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดในร่างกายของเรา โดยเฉพาะการปรับตัวเมื่อเราเจอกับสภาพอากาศเย็น แต่เมื่อเกิดการเจริญเติบโตผิดปกติ ก็อาจเกิดเป็นเนื้องอกเล็ก ๆ ใต้เล็บของเราได้

อาการและสัญญาณของ Glomus Tumor

แม้ว่า Glomus Tumor จะเป็นเนื้องอกขนาดเล็กที่อาจไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มันมีอาการที่ชัดเจนหลายอย่าง ซึ่งคุณสามารถสังเกตได้ อาการที่พบได้บ่อยมีดังนี้:

1. อาการปวดรุนแรง: อาการปวดที่มักจะเกิดขึ้นบริเวณปลายนิ้วหรือใต้เล็บ มักจะปวดในลักษณะเหมือนมีเข็มแทงหรือแปลบปลาบ ซึ่งอาการนี้อาจจะมีมากขึ้นเมื่อสัมผัสกับสิ่งของที่เย็นหรือถูกน้ำเย็น

2. ความไวต่อการสัมผัส: นิ้วที่มี Glomus Tumor มักจะมีความไวต่อการสัมผัสมากกว่าเดิม เวลาใช้ในการหยิบจับสิ่งของ อาจจะรู้สึกเจ็บง่ายกว่าปกติ

3. บวมและมีจุดแดงใต้เล็บ: บางครั้งอาจเห็นจุดแดง ๆ เล็ก ๆ ใต้เล็บ หรือเล็บดูบวมผิดปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณของการมีเนื้องอก

4. อาการหนาวเจ็บ: ในบางกรณี คนที่มี Glomus Tumor จะรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัสกับสิ่งเย็น ๆ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่อากาศเย็น

ทำไม Glomus Tumor ถึงเป็นปัญหา?

แม้ว่า Glomus Tumor จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่การมีเนื้องอกชนิดนี้ในนิ้วสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก ผู้ป่วยบางคนอาจไม่สามารถใช้นิ้วทำงานได้เลย เช่น การพิมพ์ การทำอาหาร หรือแม้กระทั่งการสวมใส่เสื้อผ้า เพราะทุกครั้งที่ใช้นิ้วจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง

นอกจากนี้ ความไวต่อความเย็นยังเป็นปัญหาใหญ่ ผู้ป่วยบางคนอาจไม่สามารถสัมผัสกับน้ำเย็น หรือสิ่งของที่เย็นได้โดยไม่รู้สึกเจ็บ ทำให้การทำกิจกรรมธรรมดาๆ เช่น การล้างมือหรือล้างจานกลายเป็นเรื่องยาก

การวินิจฉัย Glomus Tumor

การวินิจฉัย Glomus Tumor โดยทั่วไปมักจะเริ่มต้นจากการตรวจร่างกายของแพทย์ แพทย์จะใช้การตรวจสัมผัสและตรวจสอบบริเวณที่มีอาการปวดเพื่อตรวจหาลักษณะของเนื้องอก นอกจากนี้แพทย์อาจใช้การส่องแสงผ่านเล็บ (Transillumination) เพื่อดูว่าเนื้องอกมีการก่อตัวขึ้นหรือไม่

หากยังไม่ชัดเจน แพทย์อาจสั่งให้ทำการถ่ายภาพเอกซเรย์ (X-ray) หรือ MRI เพื่อดูรายละเอียดของเนื้องอกที่ซ่อนอยู่ใต้เล็บ ซึ่งการตรวจ MRI จะช่วยให้แพทย์เห็นตำแหน่งและขนาดของเนื้องอกได้อย่างชัดเจน

การรักษา Glomus Tumor

โชคดีที่ Glomus Tumor สามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาหลักที่ใช้คือการ ผ่าตัด เพื่อนำเนื้องอกออก ซึ่งเป็นการผ่าตัดเล็กที่ใช้เวลาไม่นาน แพทย์จะเปิดเล็บเพื่อนำเนื้องอกออก และในกรณีส่วนใหญ่ อาการปวดจะหายไปทันทีหลังจากการผ่าตัด

แม้ว่าการผ่าตัดจะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเล็กน้อย เช่น การติดเชื้อหรือการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อที่ช้า แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถกลับมาใช้นิ้วได้ปกติภายในไม่กี่สัปดาห์

ทำไมคุณควรรีบพบแพทย์?

หากคุณหรือคนใกล้ตัวเริ่มรู้สึกปวดนิ้วที่มีลักษณะคล้ายกับอาการที่ได้อธิบายไป อย่ารอช้าที่จะปรึกษาแพทย์ การปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้คุณใช้ชีวิตอย่างไม่สบาย โดยเฉพาะถ้าอาการปวดเริ่มรุนแรงมากขึ้น การไปพบแพทย์เฉพาะทาง เช่น ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ จะช่วยให้คุณได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและสามารถรักษาได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

การใช้ชีวิตหลังการรักษา

หลังจากการผ่าตัดและนำเนื้องอกออก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม การดูแลเล็บและนิ้วให้สะอาดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังผ่าตัด แพทย์จะแนะนำการดูแลหลังการผ่าตัดที่เหมาะสม และอาจแนะนำให้คุณหลีกเลี่ยงการใช้นิ้วมากเกินไปในช่วงแรก ๆ

สรุป

Glomus Tumor อาจเป็นเนื้องอกเล็ก ๆ แต่ความทรมานที่มันสร้างขึ้นอาจทำให้การใช้ชีวิตประจำวันยากลำบาก หากคุณมีอาการปวดนิ้วที่ไม่หายเสียที อย่ารอช้าที่จะไปพบแพทย์ การตรวจวินิจฉัยและการรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และสามารถใช้นิ้วของคุณได้อย่างสบายใจอีกครั้ง

เพราะการดูแลสุขภาพนิ้วมือที่ดีจะช่วยให้คุณมีชีวิตที่มีความสุขและปราศจากความเจ็บปวด 😊

#ปวดนิ้ว #GlomusTumor #สุขภาพดี #พบแพทย์ #รักษาสุขภาพ #กระดูกและข้อ

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2567

คนไข้มีอาการปวดข้อหลายข้อ ต้องทำอย่างไร?

ในฐานะแพทย์กระดูกที่เจอคนไข้มีอาการปวดข้อหลายข้อ การตรวจวินิจฉัยจะต้องมีการพิจารณาตามสาเหตุที่เป็นไปได้ของอาการปวดข้อ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับโรคทางระบบภูมิคุ้มกันหรือการอักเสบของข้อ แพทย์จึงต้องส่งตรวจเลือดและตรวจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้:

การตรวจเลือดพื้นฐาน

1. Complete Blood Count (CBC): เพื่อตรวจดูระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว แดง และเกล็ดเลือด ซึ่งจะช่วยประเมินการอักเสบหรือการติดเชื้อ

2. Erythrocyte Sedimentation Rate (ESR): เพื่อดูระดับการอักเสบในร่างกาย

3. C-Reactive Protein (CRP): เพื่อตรวจสอบว่ามีการอักเสบเฉียบพลันหรือไม่

4. Uric Acid: สำหรับตรวจสอบโรคเกาต์ (gout)

5. Liver and Kidney Function Tests: เพื่อประเมินสภาพการทำงานของตับและไต ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากโรคข้อหรือยารักษา

การตรวจที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบทางภูมิคุ้มกัน

1. Rheumatoid Factor (RF): เพื่อตรวจหาสารภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

2. Anti-Cyclic Citrullinated Peptide (Anti-CCP): เป็นการตรวจเฉพาะสำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่มีความแม่นยำสูงขึ้น

3. Antinuclear Antibody (ANA): ใช้ในการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน เช่น โรคพุ่มพวง (Systemic Lupus Erythematosus)

4. HLA-B27: เพื่อวินิจฉัยโรคกระดูกสันหลังอักเสบติดยึด (Ankylosing Spondylitis) และโรคข้ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

การตรวจเพิ่มเติม

1. Synovial Fluid Analysis: การเจาะดูดน้ำในข้อเพื่อตรวจหาการติดเชื้อ, เกาต์, หรือการอักเสบอื่น ๆ

2. X-ray / MRI: เพื่อประเมินความเสียหายของข้อหรือการอักเสบที่อาจเกิดขึ้น เช่น โรคข้อเสื่อม หรือโรคข้ออักเสบ

การวินิจฉัยอาการปวดข้อหลายข้อจำเป็นต้องพิจารณาทั้งอาการทางคลินิก ประวัติสุขภาพ และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ครอบคลุมเพื่อให้ได้คำตอบที่แม่นยำ

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ข้ออักเสบรูมาตอยด์คืออะไร? รักษาอย่างไร?

ข้ออักเสบรูมาตอยด์คืออะไร? รักษาอย่างไร?

ข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) เป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อข้อต่อต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะข้อต่อขนาดเล็ก เช่น ข้อมือ ข้อนิ้วมือ ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติและโจมตีเนื้อเยื่อของตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบและความเจ็บปวดในข้อต่อต่าง ๆ ซึ่งหากปล่อยไว้นาน ๆ โดยไม่รักษาอาจทำให้ข้อต่อเสียหายถาวรได้

อาการของข้ออักเสบรูมาตอยด์

อาการทั่วไปของข้ออักเสบรูมาตอยด์มักเริ่มต้นที่ข้อต่อเล็ก ๆ และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น

• ปวดและบวมที่ข้อต่อ โดยเฉพาะช่วงเช้าหรือหลังจากหยุดการเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน

• รู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย

• น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

• มีอาการไข้ต่ำ ๆ

• รู้สึกตึงที่ข้อต่อเมื่อตื่นนอนตอนเช้า

การรักษาข้ออักเสบรูมาตอยด์

การรักษาข้ออักเสบรูมาตอยด์มุ่งเน้นไปที่การลดอาการอักเสบ ควบคุมอาการปวด และชะลอความเสียหายของข้อต่อ ซึ่งวิธีการรักษาได้แก่:

1. การใช้ยา: แพทย์จะให้ยากลุ่มต่าง ๆ เช่น

• ยาต้านการอักเสบแบบไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)

• ยาแก้ปวด

• ยาระงับระบบภูมิคุ้มกัน

• ยาชะลอการดำเนินโรค (DMARDs) เช่น methotrexate ซึ่งเป็นยาที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันความเสียหายที่ข้อต่อ

2. การทำกายภาพบำบัด: ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อต่อ ลดความเจ็บปวดและเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหว

3. การผ่าตัด: ในกรณีที่ข้อต่อเสียหายรุนแรง การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเป็นตัวเลือกที่ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

4. การดูแลตัวเอง: การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดการอักเสบ เช่น อาหารที่มีน้ำตาลสูงหรือไขมันทรานส์ การนอนหลับให้เพียงพอ และออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อต่อ

ปรับการใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้น

แม้ว่าข้ออักเสบรูมาตอยด์จะเป็นโรคเรื้อรัง แต่ด้วยการดูแลรักษาที่เหมาะสม ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ การปรับตัวและเข้าใจโรคสำคัญอย่างยิ่ง หากรู้สึกเจ็บปวดหรือมีอาการอักเสบ แนะนำให้รีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ขั้นตอนการฟื้นฟูบ้านหลังน้ำท่วม เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพของทุกคนในครอบครัว

ขั้นตอนการฟื้นฟูบ้านหลังน้ำท่วม เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพของทุกคนในครอบครัว

เมื่อพายุผ่านพ้นไป น้ำที่ท่วมบ้านเริ่มลดลง แต่ภารกิจที่ยากยิ่งขึ้นกำลังรออยู่ คือการฟื้นฟูบ้านให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม การดูแลหลังน้ำท่วมต้องใช้ความรอบคอบและระมัดระวังอย่างมาก เพื่อให้บ้านปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคต่างๆ ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนสำคัญที่คุณควรปฏิบัติหลังจากน้ำท่วมบ้าน:

1. ตัดไฟและแก๊สก่อนเข้าบ้าน

อย่าเปิดไฟหรือใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าโดยเด็ดขาดจนกว่าจะมั่นใจว่าระบบไฟฟ้าในบ้านปลอดภัย ให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบสายไฟและระบบแก๊สก่อนใช้งาน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากไฟฟ้าลัดวงจร

2. สวมอุปกรณ์ป้องกันตัว

ก่อนเข้าไปในบ้าน ควรสวมถุงมือ รองเท้าบูท และหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการสัมผัสกับสิ่งสกปรก สารเคมี หรือเชื้อโรคที่อาจติดมากับน้ำท่วม

3. ระบายอากาศในบ้าน

เปิดประตูและหน้าต่างทุกบานเพื่อให้อากาศถ่ายเท ลดกลิ่นอับและความชื้นที่จะนำไปสู่การเกิดเชื้อรา การระบายอากาศเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้บ้านของคุณแห้งและน่าอยู่ขึ้น

4. ทำความสะอาดพื้นผิวและสิ่งของที่โดนน้ำท่วม

ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อในการเช็ดล้างพื้นผิวและของใช้ที่สัมผัสกับน้ำท่วม โดยเฉพาะห้องครัวและห้องน้ำ ควรทำความสะอาดอย่างละเอียดเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรค

5. กำจัดสิ่งของที่เสียหายหรือปนเปื้อน

หากเฟอร์นิเจอร์หรือของใช้บางชิ้นไม่สามารถซ่อมแซมได้ ควรทิ้งเพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคและเชื้อรา เช่น พรม ฟูก หรือสิ่งของที่ดูดซับน้ำ ควรพิจารณาทิ้งหากไม่สามารถทำให้แห้งและสะอาดได้

6. ตรวจสอบโครงสร้างบ้าน

หลังน้ำท่วม อาจมีความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างบ้าน เช่น ผนัง พื้น หรือหลังคา ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบและซ่อมแซม เพื่อป้องกันอันตรายจากการแตกร้าวหรือทรุดตัวของโครงสร้าง

7. ทำความสะอาดระบบระบายน้ำและท่อ

ตรวจสอบท่อระบายน้ำไม่ให้มีสิ่งอุดตัน เพื่อป้องกันการกลับมาของน้ำขังหรือการแพร่เชื้อโรคในอนาคต

8. ตรวจสอบแหล่งน้ำดื่ม

อย่าดื่มน้ำจากบ่อน้ำหรือแทงก์น้ำที่อาจได้รับการปนเปื้อน ควรใช้น้ำดื่มบรรจุขวดหรือน้ำจากแหล่งที่ปลอดภัย จนกว่าจะมั่นใจว่าแหล่งน้ำที่ใช้งานในบ้านสะอาดและปลอดภัย

9. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือหน่วยงานท้องถิ่น

หากมีความเสียหายรุนแรง ควรแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือบริษัทประกันภัย เพื่อประเมินค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและความช่วยเหลือที่เหมาะสม

การฟื้นฟูบ้านหลังน้ำท่วมอาจต้องใช้เวลาและความอดทน แต่การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณและครอบครัวกลับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและสะอาดได้อีกครั้ง ขอให้ทุกท่านสู้ๆ และผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างเข้มแข็ง!

เป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#ฟื้นฟูบ้านหลังน้ำท่วม #ความปลอดภัยของบ้าน #สู้ภัยน้ำท่วม #เราจะผ่านไปด้วยกัน

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2567

5 โรคที่ควรระวังในช่วงน้ำท่วม !! พร้อมวิธีป้องกันและสัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์

5 โรคที่ควรระวังในช่วงน้ำท่วม !!

พร้อมวิธีป้องกันและสัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์

สวัสดีครับทุกคน! ช่วงนี้สถานการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่ทำให้เราไม่สบายใจแน่นอน แต่ไม่ใช่แค่เรื่องทรัพย์สินเท่านั้นที่ต้องกังวล สุขภาพก็สำคัญมากๆ นะครับ เพราะเมื่อมีน้ำท่วม โรคต่างๆ ที่มากับน้ำก็สามารถระบาดได้ง่ายมาก วันนี้ผมขอมาแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับ 5 โรคที่พบบ่อยช่วงน้ำท่วม และที่สำคัญคือวิธีการป้องกันและดูแลตัวเอง รวมถึงสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าต้องรีบพบแพทย์ครับ

1. โรคน้ำกัดเท้า (ฮ่องกงฟุต)

เป็นปัญหาที่เกิดจากการที่เท้าเราแช่น้ำหรือเปียกชื้นนานๆ จนผิวหนังเริ่มพุพอง แสบคัน ถ้าไม่ดูแลอาจลุกลามเป็นเชื้อราหรือมีการติดเชื้อแบคทีเรียได้ครับ

วิธีป้องกัน:

• ใส่รองเท้าบู๊ตกันน้ำหรือรองเท้าที่สามารถป้องกันการสัมผัสน้ำโดยตรง

• ล้างเท้าด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้งหลังจากเดินลุยน้ำ

• เช็ดเท้าให้แห้งสนิททันที และหากเท้าเปียกเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนถุงเท้าและรองเท้า

• หากมีบาดแผล ควรพันผ้ากันน้ำหรือใส่ถุงพลาสติกป้องกันแผลโดนน้ำ

สัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์:

• ผิวหนังเริ่มพุพองเป็นแผลใหญ่

• อาการคันหรือปวดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

• มีหนองหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์จากแผล

2. โรคฉี่หนู (Leptospirosis)

โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะหนูที่ปนเปื้อนในน้ำท่วม เมื่อเราเดินลุยน้ำหรือน้ำเข้าปากหรือจมูกโดยไม่รู้ตัว จะทำให้ติดเชื้อและเกิดอาการได้

วิธีป้องกัน:

• หลีกเลี่ยงการแช่น้ำนานๆ โดยเฉพาะน้ำที่มีกลิ่นหรือสกปรก

• สวมถุงมือและรองเท้าบู๊ตเมื่อจำเป็นต้องลุยน้ำท่วม

• ล้างเท้าและร่างกายด้วยสบู่ทุกครั้งหลังจากสัมผัสน้ำ

• ปิดแผลให้มิดชิดก่อนลงน้ำ และหากมีแผลใหม่ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำโดยตรง

สัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์:

• ไข้สูง ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณน่อง

• ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือปัสสาวะสีเข้ม

• มีอาการอ่อนเพลียมาก อาเจียน หรือปวดท้อง

3. โรคอุจจาระร่วง

โรคนี้เกิดจากการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคในน้ำท่วม เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต อาการที่พบได้คือท้องเสียและอาเจียน

วิธีป้องกัน:

• ดื่มน้ำที่ต้มสุกหรือใช้น้ำขวดที่สะอาดเท่านั้น

• ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารหรือสัมผัสใบหน้า

• กินอาหารที่สุกสะอาด หลีกเลี่ยงอาหารที่เก็บไว้ในพื้นที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน

สัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์:

• ท้องเสียเกิน 2-3 วัน หรือมีอาการท้องเสียรุนแรง

• อาเจียนต่อเนื่อง หรือมีอาการอ่อนเพลียจนทำอะไรไม่ไหว

• มีอาการขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะน้อย หรือรู้สึกอ่อนล้าอย่างมาก

4. โรคไข้เลือดออก

น้ำท่วมจะทำให้เกิดแหล่งน้ำขัง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออก อาการที่พบคือไข้สูง ปวดหัว และปวดตามร่างกาย

วิธีป้องกัน:

• กำจัดแหล่งน้ำขังรอบบ้าน เช่น ถังน้ำที่ไม่มีฝาปิด หรือแหล่งน้ำเล็กๆ

• ใช้มุ้งลวดหรือมุ้งนอนเพื่อป้องกันยุงกัด

• ใช้ยาทากันยุง และสวมเสื้อแขนยาวเพื่อป้องกันยุงกัด

สัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์:

• ไข้สูงเฉียบพลันที่ไม่ลดลงภายใน 2-3 วัน

• ปวดท้องมาก อาเจียนติดต่อกัน หรือมีเลือดออกตามผิวหนัง

• รู้สึกอ่อนแรง วิงเวียน หรือมีปัญหาทางเดินหายใจ

5. โรคตาแดง (Conjunctivitis)

เมื่อเราสัมผัสกับน้ำสกปรกแล้วน้ำกระเด็นเข้าตา หรือใช้มือสกปรกขยี้ตา จะทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตา มีอาการคัน แสบตา น้ำตาไหล ตาแดง

วิธีป้องกัน:

• ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสใบหน้าและตา

• หากน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที

• หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น และไม่ขยี้ตาเมื่อรู้สึกคัน

สัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์:

• อาการตาแดงไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน

• มีน้ำตาหรือขี้ตาสีเหลืองหรือเขียว

• ปวดตาหรือมีอาการมองเห็นผิดปกติ

สุดท้ายนี้ครับ อย่าลืมดูแลสุขภาพของตัวเองและครอบครัวให้ดีในช่วงน้ำท่วมนี้นะครับ หมั่นรักษาความสะอาด และถ้าเริ่มมีอาการผิดปกติอย่ารอช้า ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีครับ การป้องกันและดูแลตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมากในช่วงนี้ ยังไงทุกคนก็อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำและรักษาสุขภาพให้ดีนะครับ!

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

ความสูงและพัฒนาการในเด็กชายและเด็กหญิง: เรื่องน่ารู้ที่พ่อแม่ไม่ควรพลาด!!

ความสูงและพัฒนาการในเด็กชายและเด็กหญิง: เรื่องน่ารู้ที่พ่อแม่ไม่ควรพลาด!!

เรื่องของความสูงในเด็กเป็นสิ่งที่พ่อแม่มักให้ความสนใจมาก บางครั้งก็สงสัยว่า “ทำไมลูกของฉันถึงยังไม่สูงเท่าเพื่อนๆ” หรือ “ลูกเราจะสูงได้ขนาดไหนนะ?” ไม่ต้องกังวลครับ เด็กแต่ละคนมีเส้นทางการเติบโตที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งสำคัญคือการดูแลให้พวกเขามีพัฒนาการที่ดีและแข็งแรง

พัฒนาการทางความสูงของเด็กชายและเด็กหญิง

โดยทั่วไป เด็กชายและเด็กหญิงจะมีอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละช่วงอายุ โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นที่พวกเขาเริ่มเข้าสู่ช่วงที่เรียกว่า “วัยแตกเนื้อหนุ่มแตกเนื้อสาว” มาดูกันว่าในแต่ละช่วงอายุ เด็กชายและเด็กหญิงควรจะมีความสูงประมาณเท่าไหร่

• เด็กอายุ 5 ปี: เด็กชายและเด็กหญิงมักจะมีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 105-115 เซนติเมตร ทั้งสองเพศยังไม่มีความแตกต่างชัดเจนในเรื่องความสูง

• เด็กอายุ 10 ปี: เด็กผู้ชายจะมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 130-140 เซนติเมตร ส่วนเด็กผู้หญิงมักจะสูงกว่าเล็กน้อย คือประมาณ 135-145 เซนติเมตร ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กหญิงอาจเริ่มสูงขึ้นเร็วกว่าชั่วคราว

• ช่วงวัยรุ่น (12-16 ปี): ในช่วงนี้เด็กหญิงมักจะโตเร็วก่อนเด็กชายในช่วงแรกๆ แต่พอถึงจุดหนึ่ง เด็กชายจะตามทันและมักจะสูงกว่าเด็กหญิงเมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 16-18 ปี

ปัจจัยที่มีผลต่อความสูง

หลายคนอาจสงสัยว่า “แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เด็กสูง?” มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อความสูงของเด็กครับ เรามาดูกัน

1. พันธุกรรม: ถ้าพ่อแม่สูง ลูกก็มักจะมีโอกาสสูงตามไปด้วย นี่เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด

2. อาหาร: การรับประทานอาหารที่ครบหมู่ โดยเฉพาะโปรตีน วิตามินดี และแคลเซียม จะช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก

3. การออกกำลังกาย: การเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การเล่นกีฬา วิ่ง หรือกระโดดเชือก จะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูกได้ดี

4. การนอนหลับ: เด็กที่ได้นอนหลับเพียงพอ จะมีฮอร์โมนการเจริญเติบโตที่ทำงานได้เต็มที่ เด็กๆ ควรนอนอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงต่อคืน

5. สุขภาพทั่วไป: การดูแลสุขภาพให้ดี เช่น การป้องกันโรคติดเชื้อและดูแลน้ำหนักที่เหมาะสม ก็จะส่งผลดีต่อพัฒนาการของเด็ก

อย่ากังวลเกินไป

สิ่งสำคัญคือการให้เด็กเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี และไม่ควรกังวลเกินไปเรื่องความสูง หากเด็กเติบโตตามเกณฑ์ และมีสุขภาพแข็งแรง พ่อแม่ก็สบายใจได้

ความสูงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพัฒนาการครับ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการสนับสนุนให้เด็กมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ แข็งแรง และมีความสุขทั้งทางร่างกายและจิตใจ

สรุปแล้ว…

ความสูงไม่ใช่สิ่งที่บอกว่าลูกของคุณจะประสบความสำเร็จหรือมีความสุข แต่การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ให้พวกเขาได้เติบโตอย่างแข็งแรงและมั่นใจในตัวเอง คือสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ!

#หมอเก่งกระดูกและข้อ #ความสูง #พัฒนาการเด็ก

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2567

เข่าเสื่อม!!! ต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมอะไรบ้าง??

เข่าเสื่อม!!! ต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมอะไรบ้าง??

ข้อเข่าเสื่อมคือภาวะที่กระดูกอ่อนในข้อเข่าเริ่มสึกกร่อน จนทำให้เวลาขยับข้อเข่า กระดูกอาจเสียดสีกัน ซึ่งทำให้เกิดอาการปวด บวม และเจ็บมากกว่าเดิม ดังนั้น ถ้าคุณรู้ว่าข้อเข่าของคุณเสื่อม ควรเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างที่ทำให้เข่าทำงานหนัก มาดูกันว่ามีกิจกรรมอะไรบ้างที่ควรเลี่ยงเพื่อไม่ให้อาการแย่ลง

1. การวิ่ง

การวิ่งอาจจะเป็นกิจกรรมที่หลายคนชอบ เพราะมันทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่สำหรับคนที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อม การวิ่งคือสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะการวิ่งทำให้ข้อเข่าต้องรับแรงกระแทกมากขึ้นทุกครั้งที่เท้าสัมผัสพื้น ถ้าเรายังวิ่งต่อไปเรื่อยๆ อาการเสื่อมของข้อเข่าจะยิ่งแย่ลง

แล้วควรทำยังไงแทน?

ให้ลองเปลี่ยนมาทำกิจกรรมที่ไม่กดดันข้อเข่ามาก เช่น การเดินเบาๆ การปั่นจักรยาน หรือการว่ายน้ำ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายได้ออกกำลังกายโดยไม่ต้องทำให้ข้อเข่าทำงานหนักเกินไป

2. นั่งยองๆ หรือพับเพียบ

เวลาคุณนั่งยองๆ หรือพับเพียบ ข้อเข่าของคุณจะต้องแบกรับน้ำหนักตัวคุณทั้งหมด ทำให้ข้อเข่าเจ็บและเสื่อมเร็วขึ้น โดยเฉพาะในคนที่ข้อเข่าเสื่อมอยู่แล้ว

แล้วควรทำยังไงแทน?

พยายามหาวิธีนั่งที่ไม่ต้องกดดันเข่า เช่น นั่งเก้าอี้ หรือนั่งโดยใช้หมอนรองเข่า การนั่งแบบนี้จะช่วยลดแรงกดบนข้อเข่าและทำให้คุณไม่เจ็บเข่ามากขึ้น

3. การยกของหนัก

การยกของหนักทำให้ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้อาการข้อเข่าเสื่อมแย่ลง ยิ่งของหนักเท่าไหร่ ข้อเข่าของคุณก็จะต้องทำงานหนักขึ้นเท่านั้น

แล้วควรทำยังไงแทน?

ถ้าจำเป็นต้องยกของหนักจริงๆ ลองหาคนช่วย หรือใช้เครื่องมือช่วยยกแทน เพื่อให้ข้อเข่าไม่ต้องรับแรงกดดันมากเกินไป และพยายามเลี่ยงการยกของหนักๆ ถ้าไม่จำเป็น

4. การขึ้นลงบันไดบ่อยๆ

การขึ้นลงบันไดเป็นการเคลื่อนไหวที่ทำให้ข้อเข่าต้องงอและรับน้ำหนักไปในตัวทุกครั้งที่ก้าว การทำบ่อยๆ จะทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น

แล้วควรทำยังไงแทน?

หากเป็นไปได้ ให้เลี่ยงการใช้บันไดบ่อยๆ โดยใช้ลิฟต์แทนเมื่อทำได้ หรือพยายามแบ่งกิจกรรมที่จะต้องขึ้นลงบันไดออกเป็นช่วงๆ อย่าทำต่อเนื่องจนเข่าต้องทำงานหนักเกินไป

5. การนั่งคุกเข่า

นั่งคุกเข่า เช่นเวลาทำงานบ้าน หรือนั่งสวดมนต์เป็นเวลานาน จะทำให้ข้อเข่าเกิดแรงกดมาก ยิ่งถ้าคุกเข่าเป็นเวลานาน อาการปวดจะยิ่งแย่ลง

แล้วควรทำยังไงแทน?

หากต้องทำกิจกรรมที่ต้องนั่งคุกเข่า ควรใช้หมอนหรือเบาะรองเพื่อบรรเทาแรงกด หรือหาวิธีที่ทำให้เข่าไม่ต้องแบกรับน้ำหนักตัวเต็มที่ เช่น ใช้ท่านั่งที่สบายขึ้น

สรุป

ถ้าคุณมีอาการข้อเข่าเสื่อม ให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เข่ารับน้ำหนักหรือแรงกดมากเกินไป หันไปทำกิจกรรมที่เบาลงและไม่ทำร้ายเข่า เช่น การเดินเบาๆ การปั่นจักรยาน หรือการว่ายน้ำ แล้วคุณจะรู้สึกดีขึ้น และข้อเข่าของคุณก็จะทำงานได้นานขึ้น!

#ข้อเข่าเสื่อม #ปวดเข่า #ดูแลข้อเข่า #รักษาข้อเข่า #สุขภาพดีไม่มีปวด #หมอเก่งกระดูกและข้อ

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2567

ทำไมผู้สูงอายุมักปวดเข่า? “ปวดเข่าไม่ใช่แค่เรื่องของอายุ แต่อยู่ที่การดูแล! มาเรียนรู้วิธีป้องกันและจัดการอาการปวดเข่าก่อนที่มันจะมากวนใจคุณในทุกวัน”

ทำไมผู้สูงอายุมักปวดเข่า?

“ปวดเข่าไม่ใช่แค่เรื่องของอายุ แต่อยู่ที่การดูแล! มาเรียนรู้วิธีป้องกันและจัดการอาการปวดเข่าก่อนที่มันจะมากวนใจคุณในทุกวัน”

อาการปวดเข่าในผู้สูงอายุเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย เหมือนการที่คุณพยายามวิ่งมาราธอนโดยใช้รองเท้าคู่เดิมที่ใส่มาตั้งแต่เด็กๆ แน่นอนว่าพอเวลาผ่านไป รองเท้าคู่เก่าก็ต้องสึกหรอ เช่นเดียวกับข้อเข่าของเรา!

ข้อเข่าเสื่อม: ผู้ร้ายเบอร์หนึ่งของอาการปวดเข่า

อาการปวดเข่าที่พบบ่อยในผู้สูงอายุมักมาจาก “ข้อเข่าเสื่อม” หรือ “Osteoarthritis” ซึ่งเกิดจากกระดูกอ่อนบริเวณข้อเข่าค่อยๆ สึกกร่อนลงไป นึกภาพกระดูกอ่อนเหมือนเบาะรองที่ช่วยกันไม่ให้กระดูกเสียดสีกันโดยตรง แต่เมื่ออายุมากขึ้น เบาะนั้นก็ค่อยๆ บางลง จนในที่สุดข้อเข่าก็เริ่มปวด บวม และเกิดเสียงกรอบแกรบทุกครั้งที่ขยับตัว

ทำไมถึงเสื่อม?

สาเหตุหลักคือ อายุ! เราไม่สามารถหนีความเสื่อมของร่างกายได้ ยิ่งอายุมาก กระดูกอ่อนก็ยิ่งกร่อน แต่ถ้าเพียงแค่การมีอายุมากไม่พอ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เพิ่มความเสี่ยง เช่น น้ำหนักตัวเกิน การมีน้ำหนักมากเหมือนกับการบังคับให้ข้อเข่ารับน้ำหนักที่เกินกว่าที่ควร ยิ่งน้ำหนักมากเท่าไหร่ ข้อเข่าก็ยิ่งถูกกดดันมากขึ้นไปอีก

ไม่ใช่แค่เรื่องน้ำหนักเท่านั้นที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อมได้ โรคประจำตัวอย่าง เบาหวาน และ ความดันโลหิตสูง ก็มีส่วนเช่นกัน เพราะโรคเหล่านี้ส่งผลต่อระบบการไหลเวียนเลือดและกระบวนการบำรุงรักษาของเนื้อเยื่อในร่างกาย นอกจากนี้ยังมีโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่ทำให้ข้อเข่าปวดและเสื่อมเร็วขึ้น

ความเครียดของข้อเข่าจากการใช้งานหนัก

ไม่เพียงแต่โรคและน้ำหนักตัวเท่านั้นที่เป็นสาเหตุ หากคุณเคยเล่นกีฬาหรือทำงานที่ต้องใช้เข่าอย่างหนัก เช่น การเดินไกลหรือยืนเป็นเวลานาน ก็อาจทำให้ข้อเข่าต้องรับภาระหนักอยู่ตลอด จนกระดูกอ่อนสึกเร็วกว่าปกติ

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางป้องกัน! หากรู้จักดูแลร่างกายให้ดีตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น การออกกำลังกายเบาๆ การควบคุมน้ำหนัก และการพักผ่อนให้เพียงพอ ก็อาจช่วยยืดอายุการใช้งานของข้อเข่าได้

ทำไมการปวดเข่าถึงเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ?

อาการปวดเข่าไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องความไม่สบายตัว แต่มันอาจทำให้กิจกรรมประจำวันของผู้สูงอายุลดลง เช่น การเดินขึ้นลงบันได หรือการเดินเล่นกับหลานๆ เมื่อกิจกรรมลดลง สุขภาพโดยรวมก็อาจแย่ลงตามไปด้วย

สรุป: ปวดเข่าเพราะใช้มานาน แต่อย่าปล่อยให้เข่าใช้งานไม่ไหว!

ถึงแม้ข้อเข่าจะเป็นส่วนที่รับภาระหนักมาอย่างยาวนาน แต่การดูแลตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น การออกกำลังกายแบบเบาๆ และการลดน้ำหนัก ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเสื่อมของข้อเข่าได้ อย่าลืมว่าแม้เราจะไม่สามารถย้อนเวลาได้ แต่เราสามารถดูแลเข่าให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้นานที่สุด!

#ปวดเข่า #ข้อเข่าเสื่อม #สุขภาพผู้สูงอายุ #ดูแลข้อเข่า #ข้อเข่าเสื่อมแก้ได้ #อาการปวดเข่า #สุขภาพดีไม่มีปวด #ชีวิตวัยเกษียณ

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2567

ความอ้วนทำร้ายกระดูกและข้ออย่างไร? และยาฉีดลดน้ำหนักช่วยได้จริงไหม?

ความอ้วนทำร้ายกระดูกและข้ออย่างไร? และยาฉีดลดน้ำหนักช่วยได้จริงไหม?

เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมคนที่น้ำหนักเกินถึงปวดข้อ ปวดเข่า ปวดหลังกันบ่อยๆ? ความอ้วนไม่ได้แค่ทำให้เรารู้สึกหนัก แต่ยังกดทับกระดูกและข้อจนมันต้องทำงานหนักทุกวัน คิดดูสิ! ถ้าเราน้ำหนักตัวเกินไปเยอะๆ ก็เหมือนกับต้องแบกกระสอบข้าวสารไปไหนมาไหนตลอดเวลาเลยนะ!

ความอ้วนกับปัญหากระดูกและข้อ

เมื่อเราน้ำหนักตัวเยอะขึ้น ทุกครั้งที่เราลุก นั่ง เดิน หรือวิ่ง ข้อเข่าและข้อสะโพกของเราต้องรับน้ำหนักมากขึ้น และนั่นแหละคือที่มาของปัญหา ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) ยิ่งถ้าเราไม่ค่อยได้ขยับตัว ข้อต่อของเราก็จะเสื่อมเร็วขึ้นไปอีก เราอาจจะเริ่มจากการปวดเข่าหรือปวดขาหลังจากเดินเยอะๆ แต่ถ้าไม่รีบดูแล น้ำหนักก็จะไปกดข้อจนทำให้มันเสื่อมไปเลย

ไม่ใช่แค่ข้อเข่าเท่านั้น! ความอ้วนยังทำให้ หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม ได้เร็วขึ้นอีกด้วย!!!

การมีน้ำหนักตัวมากไปทำให้กระดูกสันหลังต้องรับแรงกดดันมากขึ้น ส่งผลให้หมอนรองกระดูกเคลื่อน ก่อให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรังที่หลายคนต้องเจอ

ยาฉีดลดน้ำหนัก: ตัวช่วยใหม่

ตอนนี้หลายคนอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับ ยาฉีดลดน้ำหนัก ซึ่งกลายเป็นเทรนด์ใหม่ในวงการลดน้ำหนักกันแล้ว โดยเฉพาะในคนที่พยายามลดน้ำหนักด้วยวิธีปกติแล้วไม่ได้ผล ยาตัวนี้ทำงานอย่างไร? ยาฉีดลดน้ำหนักจะช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้น และกินได้น้อยลง ส่งผลให้เราลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น

แต่ต้องจำไว้ว่าการใช้ ยาฉีดลดน้ำหนัก ไม่ใช่สำหรับทุกคน! ยาฉีดชนิดนี้ต้องได้รับการสั่งจ่ายโดยแพทย์ และควรใช้อย่างมีสติ ไม่ใช่ใครก็ใช้ได้ตามใจชอบ แพทย์จะช่วยประเมินว่าร่างกายเราพร้อมหรือไม่ และต้องติดตามผลข้างเคียงต่างๆ เช่น คลื่นไส้ หรือปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ดังนั้นต้องมีความระมัดระวังและควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

ลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย

ถึงแม้ว่ายาฉีดจะเป็นตัวช่วยที่ดี แต่ก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการลดน้ำหนัก สิ่งสำคัญที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และมีวินัยในการดูแลสุขภาพตัวเอง เพราะถ้าเราหวังแต่จะพึ่งยาฉีดเพียงอย่างเดียว โดยไม่เปลี่ยนพฤติกรรม น้ำหนักที่ลดไปก็อาจจะกลับมาได้

สรุป

ความอ้วนไม่ใช่แค่เรื่องของรูปลักษณ์ แต่ยังทำให้กระดูกและข้อของเราเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว การลดน้ำหนักจึงเป็นการดูแลสุขภาพของเราในระยะยาว และถ้าเรากำลังคิดจะใช้ ยาฉีดลดน้ำหนัก ควรปรึกษาแพทย์และทำควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุดในระยะยาว

อย่าปล่อยให้ความอ้วนมาทำร้ายข้อและกระดูกของเรา มาดูแลสุขภาพกันตั้งแต่วันนี้ครับ!


ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2567

โรคเก๊าท์และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง: เรื่องง่ายๆ ที่ทุกคนควรรู้!!!

โรคเก๊าท์และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง: เรื่องง่ายๆ ที่ทุกคนควรรู้!!!

โรคเก๊าท์เป็นโรคที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย กรดยูริกคือสารที่เกิดจากการย่อยสลายอาหารบางชนิด เมื่อมีมากเกินไป จะสะสมและก่อตัวเป็นผลึกที่ข้อ ทำให้ข้ออักเสบ บวม และปวด

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

อาหารบางชนิดมีกรดยูริกสูงและทำให้โรคเก๊าแย่ลง เรามาดูกันว่าอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงมีอะไรบ้าง รวมถึงคำถามเกี่ยวกับอาหารที่หลายคนสงสัย เช่น หน่อไม้ ชะอม และน้ำพริกกะปิ

1. เนื้อแดง — เนื้อวัว หมู และเนื้อแกะเป็นเนื้อที่ทำให้ร่างกายสร้างกรดยูริกมากขึ้น การกินเนื้อแดงมากๆ อาจทำให้ข้อปวดและบวมได้

2. เครื่องในสัตว์ — ตับ ไต และสมองเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้กรดยูริกสูงเกินไป ถ้าอยากให้ข้อของคุณแข็งแรง ต้องหลีกเลี่ยงเครื่องในเหล่านี้

3. อาหารทะเลบางชนิด — กุ้ง ปู หอย และปลาแมคเคอเรลเป็นอาหารที่มีกรดยูริกสูง การกินอาหารทะเลเหล่านี้บ่อยๆ อาจทำให้ข้อบวมและปวดได้

4. สัตว์ปีก — ไก่และเป็ดมีโปรตีนที่สามารถเพิ่มกรดยูริกได้ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นหนังหรือเนื้อขาว การกินสัตว์ปีกควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

5. หน่อไม้ — หน่อไม้เป็นผักที่มีสารพิวรีน (Purine) ในระดับปานกลาง ซึ่งร่างกายสามารถย่อยสลายกลายเป็นกรดยูริกได้ ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคเก๊าควรหลีกเลี่ยงการกินหน่อไม้ในปริมาณมาก หรือควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปริมาณที่เหมาะสม

6. ยอดผักใบเขียว เช่น ชะอม — ชะอมและยอดผักใบเขียวบางชนิดมีสารพิวรีนค่อนข้างสูง การกินในปริมาณมากอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเพิ่มกรดยูริก แต่ถ้ากินในปริมาณที่พอเหมาะก็ไม่เป็นปัญหา

7. น้ำพริกกะปิ — กะปิเป็นอาหารที่มีกรดยูริกค่อนข้างสูง แต่ถ้าเรากินน้ำพริกกะปิในปริมาณเล็กน้อย ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ทำให้กรดยูริกเพิ่มขึ้นมาก แต่ควรควบคุมการกินไม่ให้มากเกินไป

8. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ — เบียร์และเหล้าทำให้กรดยูริกในร่างกายพุ่งสูงขึ้น เด็กๆ ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ แต่ผู้ใหญ่ก็ควรระวังเช่นกัน

9. น้ำอัดลมและขนมหวาน — น้ำตาลฟรุคโตสในน้ำอัดลมและขนมหวานทำให้ร่างกายผลิตกรดยูริกมากขึ้น นอกจากนี้ยังไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วย

สรุปง่ายๆ

การป้องกันโรคเก๊าท์เริ่มจากการกินอาหารที่เหมาะสม เลือกอาหารที่ดี ทานในปริมาณที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงอาหารที่เพิ่มกรดยูริก เช่น เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด และสัตว์ปีกบางส่วน รวมถึงอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เช่น หน่อไม้ ชะอม และน้ำพริกกะปิ กินอย่างพอดี เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และห่างไกลเก๊าท์

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2567

อัลตร้าซาวด์ดีอย่างไร? ตรวจกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นประสาทได้ แต่กระดูกไม่ไหว! มาทำความรู้จักเครื่องมือวินิจฉัยที่ช่วยให้คุณรู้จักร่างกายตัวเองมากขึ้นกันเถอะ!”

“อัลตร้าซาวด์ดีอย่างไร?

ตรวจกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นประสาทได้ แต่กระดูกไม่ไหว! มาทำความรู้จักเครื่องมือวินิจฉัยที่ช่วยให้คุณรู้จักร่างกายตัวเองมากขึ้นกันเถอะ!”

การใช้อัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) ในทางการแพทย์ถือเป็นหนึ่งในวิธีการตรวจวินิจฉัยที่มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะในเรื่องของการตรวจหาสาเหตุที่เกี่ยวกับการอักเสบของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเส้นประสาท

การตรวจด้วยอัลตร้าซาวด์ทำได้ง่าย ไม่เจ็บปวด และไม่มีรังสีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

สามารถใช้ตรวจสอบการอักเสบหรือความเสียหายของเนื้อเยื่ออ่อน (soft tissues) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การดูการอักเสบของเอ็นร้อยหวายหรือเส้นประสาทที่อาจถูกกดทับในบางบริเวณ

ประโยชน์ของการใช้อัลตร้าซาวด์:

1. ตรวจกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น – อัลตร้าซาวด์สามารถดูการอักเสบหรือความเสียหายของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นได้ เช่น เอ็นร้อยหวายหรือกล้ามเนื้อฉีกขาด

2. ไม่มีรังสีอันตราย – ปลอดภัยเพราะไม่มีการใช้รังสี เหมาะสำหรับการตรวจอย่างต่อเนื่อง

3. ตรวจเส้นประสาท – สามารถตรวจดูการกดทับหรือความผิดปกติของเส้นประสาทบางส่วนได้

4. ใช้งานสะดวกและรวดเร็ว – การตรวจอัลตร้าซาวด์ทำได้ง่าย ไม่ต้องเตรียมตัวมาก และไม่เจ็บปวด

ข้อจำกัดของการใช้อัลตร้าซาวด์:

1. ตรวจกระดูกไม่ได้ – อัลตร้าซาวด์ไม่สามารถตรวจปัญหาของกระดูก เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือกระดูกเสื่อมในส่วนคอและเอวได้

2. มองไม่เห็นส่วนที่ลึก – อัลตร้าซาวด์ไม่เหมาะกับการตรวจอวัยวะที่อยู่ลึกมาก เช่น กระดูกสันหลัง หรืออวัยวะในช่องอก

3. ต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ – ผลการตรวจขึ้นอยู่กับทักษะของแพทย์ในการใช้อัลตร้าซาวด์และแปลผล

สรุป: อัลตร้าซาวด์เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการตรวจเนื้อเยื่ออ่อน แต่ถ้าเป็นเรื่องกระดูกหรืออวัยวะที่อยู่ลึก จำเป็นต้องใช้เครื่องมืออื่น เช่น เอ็กซเรย์หรือ MRI แทน

#อัลตร้าซาวด์ #ตรวจสุขภาพ #กล้ามเนื้อและเส้นเอ็น #ข้อจำกัดของอัลตร้าซาวด์ #รู้ทันสุขภาพ #หมอแนะนำ #ตรวจวินิจฉัย #หมอเก่งกระดูกและข้อ

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2567

ทำไมกระดูกสะโพกหักต้องผ่าตัด?

ทำไมกระดูกสะโพกหักต้องผ่าตัด?

กระดูกสะโพกหักเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน การรักษาโดยการผ่าตัดมักเป็นทางเลือกที่แพทย์แนะนำ เนื่องจากมีข้อบ่งชี้หลายประการที่ชี้ให้เห็นว่าการผ่าตัดช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้มากกว่าการรักษาแบบไม่ผ่าตัด

ข้อบ่งชี้ที่ต้องผ่าตัด:

1. กระดูกสะโพกแตกหักแบบรุนแรง และเกิดการเคลื่อนของกระดูก ซึ่งทำให้กระดูกไม่สามารถเชื่อมต่อกันเองได้ตามธรรมชาติ

2. การเคลื่อนไหวจำกัด ผู้ป่วยที่ไม่สามารถลุกหรือนั่งได้หลังเกิดการหัก จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหว

3. ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแผลกดทับ ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มักเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ การผ่าตัดช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้

ผลดีของการผ่าตัด:

• ฟื้นฟูการเคลื่อนไหวได้เร็ว ผู้ป่วยสามารถกลับมาเดินและใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับการไม่ผ่าตัด

• ลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลกดทับ การติดเชื้อ และภาวะลิ่มเลือดอุดตัน

• ลดอัตราการเสียชีวิต งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการผ่าตัด

ผลเสียของการผ่าตัด:

• ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด เช่น การติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด หรือการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน

• ความเสี่ยงจากการดมยาสลบ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวหลายอย่าง

การเปรียบเทียบกับการรักษาแบบไม่ผ่าตัด:

การรักษาแบบไม่ผ่าตัดเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถทนการผ่าตัดได้ หรือมีภาวะสุขภาพที่เสี่ยงเกินไปต่อการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม การรักษาแบบนี้มักต้องใช้เวลานานในการฟื้นฟูและมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพมากขึ้น

การผ่าตัดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ เนื่องจากช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

#กระดูกสะโพกหัก #การผ่าตัด #สุขภาพกระดูก #รักษาสะโพก #สุขภาพผู้สูงอายุ #หมอเก่งกระดูกและข้อ

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2567

9 เหตุผล !! ทำไมต้องผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมระยะที่ 4 !!

9 เหตุผล !! ทำไมต้องผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมระยะที่ 4 !!

ข้อเข่าเสื่อมระยะที่ 4 คืออะไร?

ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) เป็นโรคที่เกิดจากการสึกหรอของกระดูกอ่อนในข้อเข่า ทำให้เกิดการเสียดสีระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้ง อาการของโรคนี้มักจะค่อยๆ รุนแรงขึ้นตามระยะเวลา ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ระยะ โดยระยะที่ 4 เป็นระยะที่รุนแรงที่สุด กระดูกอ่อนในข้อเข่าถูกทำลายอย่างรุนแรง ทำให้กระดูกสัมผัสกันโดยตรง ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากเมื่อเคลื่อนไหว และมักมีข้อเข่าที่แข็ง ตึง จนการเคลื่อนไหวประจำวันกลายเป็นเรื่องยากลำบาก

ทำไมการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมจึงจำเป็นในระยะที่ 4?

1. บรรเทาอาการปวดที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีอื่น: ในระยะที่ 4 อาการปวดข้อเข่ามักจะไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยยาหรือการบำบัดแบบอื่นๆ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมจึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดอาการปวดอย่างยั่งยืน

2. ปรับปรุงคุณภาพชีวิต: ผู้ป่วยที่ข้อเข่าเสื่อมในระยะที่ 4 มักมีข้อเข่าที่แข็งเกร็ง ไม่สามารถงอหรือเหยียดขาได้เต็มที่ ทำให้การทำกิจวัตรประจำวัน เช่น เดิน ขึ้นบันได หรือแม้แต่การยืนยาวๆ กลายเป็นเรื่องยาก การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น และสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติ

3. ป้องกันภาวะแทรกซ้อน: ในระยะที่ 4 ข้อเข่าที่เสื่อมอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างรอบข้าง เช่น กล้ามเนื้อ เอ็น หรือกระดูก การปล่อยให้ข้อเข่าเสื่อมรุนแรงต่อไปอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่ต้องการการรักษาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมจะช่วยป้องกันปัญหาเหล่านี้และช่วยรักษาโครงสร้างที่สำคัญ

4. ผลการรักษาที่ดีในระยะยาว: การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมเป็นวิธีการรักษาที่มีผลดีในระยะยาว ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมักมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการผ่าตัดดำเนินไปอย่างถูกต้องและได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพหลังการผ่าตัดอย่างเหมาะสม

5. การลดการใช้ยาบรรเทาอาการปวด: ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะที่ 4 มักต้องใช้ยาบรรเทาอาการปวดเป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจนำไปสู่ผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ไต หรือปัญหาหัวใจ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมสามารถช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาเหล่านี้ได้

6. การเพิ่มความมั่นคงและป้องกันการล้ม: ข้อเข่าที่เสื่อมหนักในระยะที่ 4 มักทำให้ข้อเข่าไม่มั่นคง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการล้ม โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมสามารถช่วยเสริมสร้างความมั่นคงของข้อเข่าและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้

7. การฟื้นฟูความสามารถในการทำงานและกิจกรรม: สำหรับผู้ป่วยที่ยังต้องทำงานหรือมีความต้องการที่จะใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉง การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมจะช่วยให้พวกเขาสามารถกลับไปทำงานหรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตและความสุขในชีวิตประจำวัน

8. การลดภาระต่อครอบครัวและผู้ดูแล: ผู้ป่วยในระยะที่ 4 มักต้องการการช่วยเหลือจากครอบครัวหรือผู้ดูแลในกิจกรรมประจำวัน การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาดูแลตัวเองได้มากขึ้น ลดภาระของผู้ดูแล และทำให้ชีวิตของทุกคนในครอบครัวง่ายขึ้น

9. การเพิ่มความอิสระในการเคลื่อนไหว: ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมระยะที่ 4 มักรู้สึกจำกัดในการเคลื่อนไหว ไม่สามารถทำสิ่งที่เคยทำได้ เช่น การเดินทาง การออกกำลังกายเบาๆ หรือการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมช่วยให้พวกเขากลับมาใช้ชีวิตที่มีอิสระได้อีกครั้ง

สรุป

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมเป็นทางเลือกที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมระยะที่ 4 เนื่องจากจะช่วยบรรเทาอาการปวด ปรับปรุงคุณภาพชีวิต และป้องกันภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ แม้ว่าการผ่าตัดนี้จะมีความซับซ้อน แต่หากได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญและการฟื้นฟูสมรรถภาพที่เหมาะสม ผู้ป่วยจะสามารถกลับมามีชีวิตที่เป็นปกติและทำกิจกรรมที่เคยทำได้อีกครั้ง

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2567

 ไขความลับการอักเสบในข้อเข่า ด้วยการวิเคราะห์น้ำในข้อ!!!


การวิเคราะห์น้ำในข้อเข่าเป็นวิธีที่มีความสำคัญในการประเมินสภาวะการอักเสบของข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข้อสงสัยว่าเกิดจากการติดเชื้อ เก๊าท์ หรือโรคข้ออักเสบอื่นๆ 


วิธีการนี้จะช่วยให้แพทย์สามารถทำการวินิจฉัยที่ถูกต้องและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้


การเจาะน้ำจากข้อเพื่อทำการวิเคราะห์นี้เป็นขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน โดยใช้เทคโนโลยี Ultrasound ในการระบุตำแหน่งที่ถูกต้องของข้อต่อ เพื่อลดความเสี่ยงในการเจาะผิดตำแหน่งและทำให้การดูดน้ำออกจากข้อเป็นไปอย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น 


หลังจากนั้นน้ำที่ดูดออกมาจะถูกนำไปตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งผลการตรวจจะแสดงให้เห็นถึงปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว ผลึกเกลือยูริก หรือแบคทีเรีย ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของการอักเสบในข้อเข่าของผู้ป่วย


ตัวอย่างเช่น หากพบว่ามีผลึกเกลือยูริกอยู่ในน้ำข้อ นั่นบ่งชี้ว่าผู้ป่วยอาจมีภาวะเก๊าท์ 


แต่หากพบแบคทีเรีย ก็หมายถึงข้ออาจติดเชื้อ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทันที ร่วมกับการผ่าตัดเพื่อล้างทำความสะอาดข้อ 


การวิเคราะห์น้ำในข้อด้วยการใช้ Ultrasound นอกจากจะช่วยในการวินิจฉัยที่แม่นยำแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเจาะข้อผิดพลาดและเพิ่มความปลอดภัยในการทำหัตถการ นับเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในการรักษาโรคข้ออักเสบในปัจจุบัน


ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID  @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

 https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru





วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2567

เก๊าท์ VS รูมาตอยด์ แตกต่างกันอย่างไร

โรคเก๊าท์ (Gout) และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) เป็นโรคที่ทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่อ แต่มีความแตกต่างกันในหลายด้าน ดังนี้:

1. สาเหตุ:

• เก๊าท์: เกิดจากการสะสมของผลึกกรดยูริกในข้อต่อ ซึ่งเกิดจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง เมื่อกรดยูริกสะสมเป็นเวลานาน ผลึกเหล่านี้จะก่อให้เกิดการอักเสบเฉียบพลันและปวดรุนแรงในข้อต่อ

• รูมาตอยด์: เป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune Disease) ที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเนื้อเยื่อข้อต่อ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อข้อต่อและอวัยวะอื่น ๆ

2. ลักษณะอาการ:

• เก๊าท์: อาการปวดเฉียบพลันมักเกิดที่ข้อเดียว โดยเฉพาะข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า ข้อจะบวม แดง ร้อน และปวดอย่างรุนแรง อาการมักเกิดขึ้นในเวลากลางคืน และจะหายไปในไม่กี่วัน แต่สามารถเกิดซ้ำได้

• รูมาตอยด์: มีลักษณะปวดและบวมในข้อต่อหลายข้อพร้อมกัน และมักเป็นแบบสมมาตร (เช่น ข้อมือทั้งสองข้าง) อาการจะเป็นแบบเรื้อรัง และถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่การเสียรูปของข้อ

3. กลุ่มคนที่เป็น:

• เก๊าท์: พบมากในผู้ชาย โดยเฉพาะวัยกลางคนถึงสูงอายุ และคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์

• รูมาตอยด์: พบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในช่วงอายุ 30-60 ปี

4. การวินิจฉัย:

• เก๊าท์: ตรวจพบระดับกรดยูริกในเลือดสูง หรือการตรวจพบผลึกกรดยูริกในน้ำที่เจาะจากข้อที่อักเสบ

• รูมาตอยด์: ตรวจพบ Rheumatoid Factor (RF) หรือ Anti-CCP ในเลือด และการอักเสบทั่วไปโดยดูจาก ESR และ CRP

5. การรักษา:

• เก๊าท์: รักษาด้วยยาต้านการอักเสบ (NSAIDs), Colchicine, หรือ Corticosteroids ในช่วงที่อักเสบเฉียบพลัน และยาลดกรดยูริกในเลือด (เช่น Allopurinol) ในระยะยาว

• รูมาตอยด์: ใช้ยา DMARDs (เช่น Methotrexate), ยาชีวภาพ (เช่น TNF inhibitors), และ NSAIDs หรือ Steroids ในการควบคุมอาการ

6. ภาวะแทรกซ้อน:

• เก๊าท์: อาจเกิดก้อนโทฟัส (Tophus) ใต้ผิวหนัง นิ่วในไต และความเสียหายของข้อจากการอักเสบซ้ำ ๆ

• รูมาตอยด์: อาจเกิดข้อเสียรูปและข้อยึด โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคปอด โรคไต และการอักเสบในอวัยวะอื่น ๆ

7. แนวโน้มการเกิดโรค:

• เก๊าท์: อาการจะเป็นซ้ำได้ถ้าไม่ควบคุมระดับกรดยูริกในเลือด

• รูมาตอยด์: เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการการรักษาต่อเนื่องเพื่อป้องกันความเสียหายของข้อต่อ

ทั้งสองโรคมีลักษณะที่คล้ายกันในแง่ของการทำให้เกิดการอักเสบในข้อต่อ แต่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในเรื่องสาเหตุ อาการ และการรักษา


ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru