วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ปวดสะโพก!!! โรค Trochanteric Bursitis คืออะไร?

ปวดสะโพก!!!

โรค Trochanteric Bursitis คืออะไร?

Trochanteric Bursitis หรือโรคการอักเสบของถุงน้ำบริเวณสะโพก เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีการใช้งานสะโพกหนัก หรือมีการบาดเจ็บบริเวณสะโพก ถุงน้ำนี้มีหน้าที่ช่วยลดการเสียดสีระหว่างกระดูกต้นขาและกล้ามเนื้อ แต่เมื่อเกิดการอักเสบจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บบริเวณด้านข้างของสะโพกและอาจร้าวลงไปที่ต้นขาได้

อาการของ Trochanteric Bursitis

ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีอาการหลักๆ ดังนี้:

1. ปวดบริเวณด้านข้างของสะโพก – มักจะรู้สึกปวดเมื่อสัมผัสหรือกดที่บริเวณสะโพกด้านนอก

2. ปวดขณะนอนตะแคงข้างที่มีการอักเสบ – ทำให้การนอนอาจไม่สบายและรบกวนการพักผ่อน

3. เจ็บขณะเดินหรือขึ้นลงบันได – บางครั้งอาการปวดอาจร้าวลงไปถึงต้นขา

4. ข้อสะโพกฝืดหรือขยับลำบาก – โดยเฉพาะหลังจากนั่งหรือนอนนานๆ

สาเหตุของการเกิด Trochanteric Bursitis

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคนี้มีหลายปัจจัย เช่น:

• การบาดเจ็บบริเวณสะโพก เช่น การหกล้มหรือกระแทก

• การใช้งานสะโพกมากเกินไป เช่น การเดิน วิ่ง หรือยืนนานๆ

• กล้ามเนื้ออ่อนแอหรือไม่สมดุล ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงกดที่ข้อสะโพกมากขึ้น

• ภาวะโรคข้ออักเสบ เช่น โรคข้อเสื่อมหรือโรครูมาตอยด์

• โครงสร้างร่างกายผิดปกติ เช่น ขายาวไม่เท่ากัน

วิธีการวินิจฉัย

การวินิจฉัย Trochanteric Bursitis ทำได้โดยการตรวจร่างกายและประวัติอาการของผู้ป่วย ซึ่งแพทย์จะกดที่บริเวณสะโพกด้านนอกเพื่อดูความเจ็บ และอาจให้ผู้ป่วยทำท่าทางบางอย่างเพื่อประเมินความฝืดของข้อ นอกจากนี้ อาจใช้การถ่ายภาพรังสีหรือ MRI เพื่อแยกแยะโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกัน เช่น โรคข้อสะโพกเสื่อม

วิธีการรักษา

1. พักผ่อนและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เจ็บ

• ลดการใช้งานสะโพก เช่น หลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินนานๆ หรือการนอนทับข้างที่มีการอักเสบ

2. การประคบเย็น

• ใช้การประคบเย็นที่สะโพกเพื่อลดอาการปวดและการอักเสบ ทำประมาณ 10-15 นาที หลายครั้งต่อวัน

3. การทานยา

• ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟน ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ

4. กายภาพบำบัด

• การทำกายภาพบำบัดเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณสะโพกและต้นขา เช่น การออกกำลังกายเสริมกล้ามเนื้อสะโพกและการยืดกล้ามเนื้อ

5. ฉีดยาสเตียรอยด์

• ในกรณีที่อาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนำการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าที่ถุงน้ำเพื่อบรรเทาการอักเสบ

6. การผ่าตัด

• ในกรณีที่รักษาด้วยวิธีการอื่นๆ ไม่ได้ผล อาจต้องพิจารณาการผ่าตัดเพื่อนำถุงน้ำออก แต่เป็นทางเลือกสุดท้าย

การป้องกันการเกิด Trochanteric Bursitis

• หลีกเลี่ยงการใช้งานสะโพกหนักๆ เช่น การวิ่งหรือเดินนานๆ

• เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสะโพกและขาเพื่อช่วยพยุงข้อสะโพก

• สวมรองเท้าที่เหมาะสม เพื่อลดแรงกระแทกที่ข้อสะโพก

• หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงข้างที่มีการอักเสบ และอาจใช้หมอนเสริมเพื่อลดแรงกดทับที่สะโพก

สรุป

Trochanteric Bursitis เป็นภาวะอักเสบที่พบได้บ่อย และสามารถรักษาได้ง่ายหากดูแลและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การพักผ่อน การทำกายภาพบำบัด และการใช้ยา สามารถช่วยบรรเทาอาการและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ก้อนซีสต์ที่ข้อมือคืออะไร?

ก้อนซีสต์ที่ข้อมือคืออะไร? รู้จักและเข้าใจปัญหานี้!

หลายคนอาจเคยพบเจออาการปวดที่ข้อมือหรือสังเกตว่ามีก้อนนูนขึ้นมาในบริเวณข้อมือ จนทำให้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเรา ก้อนซีสต์ที่ข้อมือ หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า Ganglion Cyst เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย และมักทำให้เกิดความกังวลใจไม่มากก็น้อย ในบทความนี้ ผมจะพาทุกคนมารู้จักและเข้าใจว่าเจ้าก้อนนี้คืออะไร เกิดจากอะไร อันตรายไหม และควรจัดการอย่างไรเมื่อเจอปัญหานี้

ก้อนซีสต์ที่ข้อมือคืออะไร?

ก้อนซีสต์ที่ข้อมือ คือก้อนที่เกิดจากการสะสมของของเหลวภายในข้อต่อหรือปลอกหุ้มเอ็น (tendon sheath) ของมือและข้อมือ ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนนุ่มๆ ที่สามารถเคลื่อนที่ได้เมื่อสัมผัส ของเหลวที่อยู่ภายในก้อนซีสต์คือของเหลวข้นและเหนียวที่มีความคล้ายคลึงกับน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อ (synovial fluid) ซึ่งเป็นน้ำที่มีหน้าที่หล่อลื่นและป้องกันข้อต่อและเอ็นจากการเสียดสี

สาเหตุของการเกิดก้อนซีสต์ที่ข้อมือ

แม้ว่าจะยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดก้อนซีสต์ที่ข้อมือ แต่มีหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบาย หนึ่งในนั้นคือการที่ของเหลวหล่อเลี้ยงข้อต่ออาจรั่วออกจากข้อต่อหรือปลอกเอ็น เมื่อเกิดแรงดันที่สูงขึ้นในบริเวณเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นจากการใช้งานมือที่มากเกินไป การบาดเจ็บ หรือการอักเสบ ก็อาจทำให้เกิดซีสต์ได้

กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดก้อนซีสต์ที่ข้อมือ คือผู้ที่ใช้งานข้อมือและมือหนักๆ เช่น พนักงานที่ต้องพิมพ์งานคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน นักดนตรี หรือช่างที่ต้องใช้มือในการทำงานอย่างต่อเนื่อง

อาการของก้อนซีสต์ที่ข้อมือ

ก้อนซีสต์ที่ข้อมือมักจะเกิดเป็นก้อนนูนที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนหรือสามารถคลำได้เมื่อสัมผัส โดยก้อนซีสต์นี้มักมีลักษณะนุ่มและเคลื่อนที่ได้ บางคนอาจไม่มีอาการปวดหรือความไม่สบาย แต่บางคนอาจรู้สึกปวดเมื่อมีการเคลื่อนไหวข้อมือหรือเมื่อกดทับบนก้อนซีสต์ บางครั้งก้อนซีสต์นี้สามารถส่งผลให้การใช้งานมือหรือข้อมือไม่สะดวก หรืออาจทำให้รู้สึกอึดอัดเมื่อทำกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อมือมากๆ

ก้อนซีสต์ที่ข้อมืออันตรายไหม?

หนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัยเมื่อเจอก้อนซีสต์ที่ข้อมือคือ “มันอันตรายไหม?” คำตอบก็คือ ก้อนซีสต์ที่ข้อมือส่วนใหญ่ไม่ใช่ก้อนเนื้อร้าย และไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายที่ร้ายแรง แต่ก็สามารถทำให้เกิดความไม่สบายและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้

บางครั้งก้อนซีสต์อาจหายไปได้เองโดยไม่ต้องทำการรักษา แต่อาจมีบางกรณีที่ก้อนซีสต์กลับมาใหม่หรือมีขนาดใหญ่ขึ้นหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม

วิธีการรักษาก้อนซีสต์ที่ข้อมือ

การรักษาก้อนซีสต์ที่ข้อมือสามารถทำได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับขนาดของซีสต์ อาการ และผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วย โดยมีแนวทางการรักษาดังนี้:

1. การสังเกตอาการ (Watchful Waiting): สำหรับผู้ที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือมีความไม่สะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน แพทย์อาจแนะนำให้สังเกตอาการไปก่อน เนื่องจากบางครั้งก้อนซีสต์สามารถหายไปได้เอง

2. การดูดน้ำออกจากซีสต์ (Aspiration): หากก้อนซีสต์มีขนาดใหญ่และทำให้เกิดความไม่สบาย แพทย์อาจทำการดูดน้ำออกจากก้อนเพื่อช่วยลดขนาด อย่างไรก็ตาม ก้อนซีสต์อาจกลับมาใหม่ได้ในบางกรณี

3. การผ่าตัด (Surgical Removal): หากก้อนซีสต์มีขนาดใหญ่ ทำให้เกิดความเจ็บปวด หรือกลับมาใหม่หลายครั้ง แพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดเอาก้อนซีสต์ออก ซึ่งเป็นวิธีที่มีโอกาสที่ซีสต์จะกลับมาได้น้อยกว่าวิธีการอื่นๆ

4. การปรับพฤติกรรมการใช้งานข้อมือ: การปรับพฤติกรรมในการใช้งานข้อมือ เช่น หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่ทำให้ข้อมือเกิดแรงดันมากเกินไป อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดซีสต์ใหม่หรือการกลับมาใหม่ของซีสต์

ควรพบแพทย์เมื่อใด?

หากคุณพบว่ามีก้อนซีสต์ที่ข้อมือ และมีอาการดังต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและวินิจฉัย:

• ก้อนซีสต์มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

• มีอาการปวดที่รุนแรง หรือรู้สึกว่าข้อมือใช้งานไม่ได้ตามปกติ

• ซีสต์มีสีแดงหรือมีอาการอักเสบ

• ซีสต์ไม่หายหรือกลับมาใหม่หลังการรักษา

ป้องกันการเกิดก้อนซีสต์ที่ข้อมือได้อย่างไร?

แม้ว่าการป้องกันการเกิดก้อนซีสต์ที่ข้อมืออาจทำได้ยาก แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้โดยการดูแลข้อมือและการใช้งานที่เหมาะสม เช่น หลีกเลี่ยงการทำงานที่ใช้ข้อมือหนักๆ เป็นเวลานาน หรือใช้เครื่องป้องกันข้อมือหากต้องทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงในบริเวณนั้นเป็นพิเศษ

สรุป

ก้อนซีสต์ที่ข้อมือแม้จะไม่ใช่อาการที่อันตรายมาก แต่ก็สามารถรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ ถ้าหากมีก้อนที่ข้อมือและรู้สึกไม่สบาย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบและรับคำแนะนำในการดูแลรักษา อย่าลืมว่าการดูแลสุขภาพข้อมือและมือให้แข็งแรงจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหานี้ได้

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

โทร 0815303666

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ปวดนิ้ว!!!!

ปวดนิ้ว!!!!

“เมื่ออาการปวดนิ้วไม่ธรรมดา: เรื่องราวของ Glomus Tumor”

หลายคนคงเคยเจอปัญหานิ้วปวด ไม่ว่าจะเกิดจากการทำงานหนักหรืออุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หากคุณเคยมีอาการปวดนิ้วที่รุนแรงมาก รู้สึกเหมือนมีเข็มแทง โดยเฉพาะเวลาสัมผัสกับของเย็น หรือกดใช้งานนิ้ว อาจมีโอกาสที่คุณกำลังเผชิญกับ Glomus Tumor อาการที่หลายคนอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่มันสามารถสร้างความทรมานให้กับชีวิตประจำวันได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว

Glomus Tumor คืออะไร?

Glomus Tumor เป็นเนื้องอกชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นบริเวณปลายนิ้ว โดยเฉพาะใต้เล็บของเรา ซึ่งเนื้องอกนี้เป็นชนิดที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต มันไม่ใช่เนื้องอกที่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ แต่ปัญหาคืออาการปวดที่มาพร้อมกับมัน ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายหรือทรมานจากอาการปวดแบบเฉียบพลัน ซึ่งอาการเหล่านี้ทำให้การใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การหยิบจับสิ่งของ การพิมพ์งาน หรือแม้แต่การสัมผัสสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ กลายเป็นเรื่องยาก

เนื้องอกชนิดนี้มาจากกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า Glomus Body ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดในร่างกายของเรา โดยเฉพาะการปรับตัวเมื่อเราเจอกับสภาพอากาศเย็น แต่เมื่อเกิดการเจริญเติบโตผิดปกติ ก็อาจเกิดเป็นเนื้องอกเล็ก ๆ ใต้เล็บของเราได้

อาการและสัญญาณของ Glomus Tumor

แม้ว่า Glomus Tumor จะเป็นเนื้องอกขนาดเล็กที่อาจไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มันมีอาการที่ชัดเจนหลายอย่าง ซึ่งคุณสามารถสังเกตได้ อาการที่พบได้บ่อยมีดังนี้:

1. อาการปวดรุนแรง: อาการปวดที่มักจะเกิดขึ้นบริเวณปลายนิ้วหรือใต้เล็บ มักจะปวดในลักษณะเหมือนมีเข็มแทงหรือแปลบปลาบ ซึ่งอาการนี้อาจจะมีมากขึ้นเมื่อสัมผัสกับสิ่งของที่เย็นหรือถูกน้ำเย็น

2. ความไวต่อการสัมผัส: นิ้วที่มี Glomus Tumor มักจะมีความไวต่อการสัมผัสมากกว่าเดิม เวลาใช้ในการหยิบจับสิ่งของ อาจจะรู้สึกเจ็บง่ายกว่าปกติ

3. บวมและมีจุดแดงใต้เล็บ: บางครั้งอาจเห็นจุดแดง ๆ เล็ก ๆ ใต้เล็บ หรือเล็บดูบวมผิดปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณของการมีเนื้องอก

4. อาการหนาวเจ็บ: ในบางกรณี คนที่มี Glomus Tumor จะรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัสกับสิ่งเย็น ๆ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่อากาศเย็น

ทำไม Glomus Tumor ถึงเป็นปัญหา?

แม้ว่า Glomus Tumor จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่การมีเนื้องอกชนิดนี้ในนิ้วสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก ผู้ป่วยบางคนอาจไม่สามารถใช้นิ้วทำงานได้เลย เช่น การพิมพ์ การทำอาหาร หรือแม้กระทั่งการสวมใส่เสื้อผ้า เพราะทุกครั้งที่ใช้นิ้วจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง

นอกจากนี้ ความไวต่อความเย็นยังเป็นปัญหาใหญ่ ผู้ป่วยบางคนอาจไม่สามารถสัมผัสกับน้ำเย็น หรือสิ่งของที่เย็นได้โดยไม่รู้สึกเจ็บ ทำให้การทำกิจกรรมธรรมดาๆ เช่น การล้างมือหรือล้างจานกลายเป็นเรื่องยาก

การวินิจฉัย Glomus Tumor

การวินิจฉัย Glomus Tumor โดยทั่วไปมักจะเริ่มต้นจากการตรวจร่างกายของแพทย์ แพทย์จะใช้การตรวจสัมผัสและตรวจสอบบริเวณที่มีอาการปวดเพื่อตรวจหาลักษณะของเนื้องอก นอกจากนี้แพทย์อาจใช้การส่องแสงผ่านเล็บ (Transillumination) เพื่อดูว่าเนื้องอกมีการก่อตัวขึ้นหรือไม่

หากยังไม่ชัดเจน แพทย์อาจสั่งให้ทำการถ่ายภาพเอกซเรย์ (X-ray) หรือ MRI เพื่อดูรายละเอียดของเนื้องอกที่ซ่อนอยู่ใต้เล็บ ซึ่งการตรวจ MRI จะช่วยให้แพทย์เห็นตำแหน่งและขนาดของเนื้องอกได้อย่างชัดเจน

การรักษา Glomus Tumor

โชคดีที่ Glomus Tumor สามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาหลักที่ใช้คือการ ผ่าตัด เพื่อนำเนื้องอกออก ซึ่งเป็นการผ่าตัดเล็กที่ใช้เวลาไม่นาน แพทย์จะเปิดเล็บเพื่อนำเนื้องอกออก และในกรณีส่วนใหญ่ อาการปวดจะหายไปทันทีหลังจากการผ่าตัด

แม้ว่าการผ่าตัดจะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเล็กน้อย เช่น การติดเชื้อหรือการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อที่ช้า แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถกลับมาใช้นิ้วได้ปกติภายในไม่กี่สัปดาห์

ทำไมคุณควรรีบพบแพทย์?

หากคุณหรือคนใกล้ตัวเริ่มรู้สึกปวดนิ้วที่มีลักษณะคล้ายกับอาการที่ได้อธิบายไป อย่ารอช้าที่จะปรึกษาแพทย์ การปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้คุณใช้ชีวิตอย่างไม่สบาย โดยเฉพาะถ้าอาการปวดเริ่มรุนแรงมากขึ้น การไปพบแพทย์เฉพาะทาง เช่น ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ จะช่วยให้คุณได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและสามารถรักษาได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

การใช้ชีวิตหลังการรักษา

หลังจากการผ่าตัดและนำเนื้องอกออก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม การดูแลเล็บและนิ้วให้สะอาดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังผ่าตัด แพทย์จะแนะนำการดูแลหลังการผ่าตัดที่เหมาะสม และอาจแนะนำให้คุณหลีกเลี่ยงการใช้นิ้วมากเกินไปในช่วงแรก ๆ

สรุป

Glomus Tumor อาจเป็นเนื้องอกเล็ก ๆ แต่ความทรมานที่มันสร้างขึ้นอาจทำให้การใช้ชีวิตประจำวันยากลำบาก หากคุณมีอาการปวดนิ้วที่ไม่หายเสียที อย่ารอช้าที่จะไปพบแพทย์ การตรวจวินิจฉัยและการรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และสามารถใช้นิ้วของคุณได้อย่างสบายใจอีกครั้ง

เพราะการดูแลสุขภาพนิ้วมือที่ดีจะช่วยให้คุณมีชีวิตที่มีความสุขและปราศจากความเจ็บปวด 😊

#ปวดนิ้ว #GlomusTumor #สุขภาพดี #พบแพทย์ #รักษาสุขภาพ #กระดูกและข้อ

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2567

คนไข้มีอาการปวดข้อหลายข้อ ต้องทำอย่างไร?

ในฐานะแพทย์กระดูกที่เจอคนไข้มีอาการปวดข้อหลายข้อ การตรวจวินิจฉัยจะต้องมีการพิจารณาตามสาเหตุที่เป็นไปได้ของอาการปวดข้อ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับโรคทางระบบภูมิคุ้มกันหรือการอักเสบของข้อ แพทย์จึงต้องส่งตรวจเลือดและตรวจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้:

การตรวจเลือดพื้นฐาน

1. Complete Blood Count (CBC): เพื่อตรวจดูระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว แดง และเกล็ดเลือด ซึ่งจะช่วยประเมินการอักเสบหรือการติดเชื้อ

2. Erythrocyte Sedimentation Rate (ESR): เพื่อดูระดับการอักเสบในร่างกาย

3. C-Reactive Protein (CRP): เพื่อตรวจสอบว่ามีการอักเสบเฉียบพลันหรือไม่

4. Uric Acid: สำหรับตรวจสอบโรคเกาต์ (gout)

5. Liver and Kidney Function Tests: เพื่อประเมินสภาพการทำงานของตับและไต ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากโรคข้อหรือยารักษา

การตรวจที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบทางภูมิคุ้มกัน

1. Rheumatoid Factor (RF): เพื่อตรวจหาสารภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

2. Anti-Cyclic Citrullinated Peptide (Anti-CCP): เป็นการตรวจเฉพาะสำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่มีความแม่นยำสูงขึ้น

3. Antinuclear Antibody (ANA): ใช้ในการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน เช่น โรคพุ่มพวง (Systemic Lupus Erythematosus)

4. HLA-B27: เพื่อวินิจฉัยโรคกระดูกสันหลังอักเสบติดยึด (Ankylosing Spondylitis) และโรคข้ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

การตรวจเพิ่มเติม

1. Synovial Fluid Analysis: การเจาะดูดน้ำในข้อเพื่อตรวจหาการติดเชื้อ, เกาต์, หรือการอักเสบอื่น ๆ

2. X-ray / MRI: เพื่อประเมินความเสียหายของข้อหรือการอักเสบที่อาจเกิดขึ้น เช่น โรคข้อเสื่อม หรือโรคข้ออักเสบ

การวินิจฉัยอาการปวดข้อหลายข้อจำเป็นต้องพิจารณาทั้งอาการทางคลินิก ประวัติสุขภาพ และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ครอบคลุมเพื่อให้ได้คำตอบที่แม่นยำ

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ข้ออักเสบรูมาตอยด์คืออะไร? รักษาอย่างไร?

ข้ออักเสบรูมาตอยด์คืออะไร? รักษาอย่างไร?

ข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) เป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อข้อต่อต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะข้อต่อขนาดเล็ก เช่น ข้อมือ ข้อนิ้วมือ ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติและโจมตีเนื้อเยื่อของตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบและความเจ็บปวดในข้อต่อต่าง ๆ ซึ่งหากปล่อยไว้นาน ๆ โดยไม่รักษาอาจทำให้ข้อต่อเสียหายถาวรได้

อาการของข้ออักเสบรูมาตอยด์

อาการทั่วไปของข้ออักเสบรูมาตอยด์มักเริ่มต้นที่ข้อต่อเล็ก ๆ และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น

• ปวดและบวมที่ข้อต่อ โดยเฉพาะช่วงเช้าหรือหลังจากหยุดการเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน

• รู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย

• น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

• มีอาการไข้ต่ำ ๆ

• รู้สึกตึงที่ข้อต่อเมื่อตื่นนอนตอนเช้า

การรักษาข้ออักเสบรูมาตอยด์

การรักษาข้ออักเสบรูมาตอยด์มุ่งเน้นไปที่การลดอาการอักเสบ ควบคุมอาการปวด และชะลอความเสียหายของข้อต่อ ซึ่งวิธีการรักษาได้แก่:

1. การใช้ยา: แพทย์จะให้ยากลุ่มต่าง ๆ เช่น

• ยาต้านการอักเสบแบบไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)

• ยาแก้ปวด

• ยาระงับระบบภูมิคุ้มกัน

• ยาชะลอการดำเนินโรค (DMARDs) เช่น methotrexate ซึ่งเป็นยาที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันความเสียหายที่ข้อต่อ

2. การทำกายภาพบำบัด: ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อต่อ ลดความเจ็บปวดและเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหว

3. การผ่าตัด: ในกรณีที่ข้อต่อเสียหายรุนแรง การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเป็นตัวเลือกที่ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

4. การดูแลตัวเอง: การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดการอักเสบ เช่น อาหารที่มีน้ำตาลสูงหรือไขมันทรานส์ การนอนหลับให้เพียงพอ และออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อต่อ

ปรับการใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้น

แม้ว่าข้ออักเสบรูมาตอยด์จะเป็นโรคเรื้อรัง แต่ด้วยการดูแลรักษาที่เหมาะสม ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ การปรับตัวและเข้าใจโรคสำคัญอย่างยิ่ง หากรู้สึกเจ็บปวดหรือมีอาการอักเสบ แนะนำให้รีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ขั้นตอนการฟื้นฟูบ้านหลังน้ำท่วม เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพของทุกคนในครอบครัว

ขั้นตอนการฟื้นฟูบ้านหลังน้ำท่วม เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพของทุกคนในครอบครัว

เมื่อพายุผ่านพ้นไป น้ำที่ท่วมบ้านเริ่มลดลง แต่ภารกิจที่ยากยิ่งขึ้นกำลังรออยู่ คือการฟื้นฟูบ้านให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม การดูแลหลังน้ำท่วมต้องใช้ความรอบคอบและระมัดระวังอย่างมาก เพื่อให้บ้านปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคต่างๆ ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนสำคัญที่คุณควรปฏิบัติหลังจากน้ำท่วมบ้าน:

1. ตัดไฟและแก๊สก่อนเข้าบ้าน

อย่าเปิดไฟหรือใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าโดยเด็ดขาดจนกว่าจะมั่นใจว่าระบบไฟฟ้าในบ้านปลอดภัย ให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบสายไฟและระบบแก๊สก่อนใช้งาน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากไฟฟ้าลัดวงจร

2. สวมอุปกรณ์ป้องกันตัว

ก่อนเข้าไปในบ้าน ควรสวมถุงมือ รองเท้าบูท และหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการสัมผัสกับสิ่งสกปรก สารเคมี หรือเชื้อโรคที่อาจติดมากับน้ำท่วม

3. ระบายอากาศในบ้าน

เปิดประตูและหน้าต่างทุกบานเพื่อให้อากาศถ่ายเท ลดกลิ่นอับและความชื้นที่จะนำไปสู่การเกิดเชื้อรา การระบายอากาศเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้บ้านของคุณแห้งและน่าอยู่ขึ้น

4. ทำความสะอาดพื้นผิวและสิ่งของที่โดนน้ำท่วม

ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อในการเช็ดล้างพื้นผิวและของใช้ที่สัมผัสกับน้ำท่วม โดยเฉพาะห้องครัวและห้องน้ำ ควรทำความสะอาดอย่างละเอียดเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรค

5. กำจัดสิ่งของที่เสียหายหรือปนเปื้อน

หากเฟอร์นิเจอร์หรือของใช้บางชิ้นไม่สามารถซ่อมแซมได้ ควรทิ้งเพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคและเชื้อรา เช่น พรม ฟูก หรือสิ่งของที่ดูดซับน้ำ ควรพิจารณาทิ้งหากไม่สามารถทำให้แห้งและสะอาดได้

6. ตรวจสอบโครงสร้างบ้าน

หลังน้ำท่วม อาจมีความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างบ้าน เช่น ผนัง พื้น หรือหลังคา ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบและซ่อมแซม เพื่อป้องกันอันตรายจากการแตกร้าวหรือทรุดตัวของโครงสร้าง

7. ทำความสะอาดระบบระบายน้ำและท่อ

ตรวจสอบท่อระบายน้ำไม่ให้มีสิ่งอุดตัน เพื่อป้องกันการกลับมาของน้ำขังหรือการแพร่เชื้อโรคในอนาคต

8. ตรวจสอบแหล่งน้ำดื่ม

อย่าดื่มน้ำจากบ่อน้ำหรือแทงก์น้ำที่อาจได้รับการปนเปื้อน ควรใช้น้ำดื่มบรรจุขวดหรือน้ำจากแหล่งที่ปลอดภัย จนกว่าจะมั่นใจว่าแหล่งน้ำที่ใช้งานในบ้านสะอาดและปลอดภัย

9. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหรือหน่วยงานท้องถิ่น

หากมีความเสียหายรุนแรง ควรแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือบริษัทประกันภัย เพื่อประเมินค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและความช่วยเหลือที่เหมาะสม

การฟื้นฟูบ้านหลังน้ำท่วมอาจต้องใช้เวลาและความอดทน แต่การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณและครอบครัวกลับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและสะอาดได้อีกครั้ง ขอให้ทุกท่านสู้ๆ และผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างเข้มแข็ง!

เป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#ฟื้นฟูบ้านหลังน้ำท่วม #ความปลอดภัยของบ้าน #สู้ภัยน้ำท่วม #เราจะผ่านไปด้วยกัน