MRI มีไว้ทำไม? ทำไมหมอถึงส่งตรวจ? แล้วมันดียังไงกับโรคกระดูกและข้อ?
หลายคนคงเคยเจอประโยคแบบนี้จากหมอเวลาตรวจอาการปวดหลัง ปวดเข่า หรือปวดไหล่เรื้อรัง —
“หมออยากให้ไปตรวจ MRI ดูนะครับ จะได้เห็นโครงสร้างชัดขึ้น”
แต่พอได้ยินคำว่า “MRI” หลายคนก็เริ่มกังวล ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย ความกลัวว่าเครื่องจะเสียงดัง หรือแม้แต่คิดว่าอาจจะเป็นโรคร้ายแรงถึงขั้นต้องใช้เครื่องนี้ตรวจเลยหรือ?
จริง ๆ แล้ว MRI (อ่านว่า เอ็ม-อาร์-ไอ) ย่อมาจาก Magnetic Resonance Imaging เป็นการตรวจที่ไม่เจ็บ ไม่ฉายรังสี และปลอดภัยมาก ใช้คลื่นแม่เหล็กและคลื่นวิทยุในการสร้างภาพละเอียดของร่างกาย โดยเฉพาะ “เนื้อเยื่ออ่อน” ที่ X-ray หรือ CT scan เห็นไม่ชัด เช่น เส้นเอ็น หมอนรองกระดูก ไขกระดูก เส้นประสาท หรือแม้แต่จุดอักเสบเล็ก ๆ ที่เป็นต้นเหตุของความปวดเรื้อรัง
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ
✅ ถ้าคุณปวดหลังมาเป็นปี กินยาก็ไม่หาย MRI จะช่วยดูได้ว่า มีหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทไหม?
✅ ถ้าคุณปวดเข่า แต่เอกซเรย์ปกติ MRI จะเห็นว่าเอ็นไขว้หน้าขาดหรือหมอนรองเข่าฉีกหรือเปล่า
✅ ถ้าคุณยกแขนไม่สุด เจ็บไหล่มาหลายเดือน MRI จะดูให้เห็นชัด ๆ ว่าเอ็นหัวไหล่ฉีกหรือมีจุดเสียดสีตรงไหนหรือไม่
✅ หรือแม้แต่กรณีที่สงสัยเนื้องอก กระดูกติดเชื้อ หรือโรคไขข้อบางชนิด MRI ก็จะช่วยให้หมอตัดสินใจวางแผนการรักษาได้แม่นยำมากขึ้น
เพราะ MRI มองลึกลงไปถึง “สิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็น”
และหลายครั้ง ช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการผ่าตัดโดยไม่จำเป็น เพียงแค่ได้รู้ปัญหาชัดเจน แล้วใช้เทคนิคการฉีดยารักษาจุดที่อักเสบให้ตรงจุด เช่นการฉีดยาภายใต้เครื่อง ultrasound
แม้การตรวจ MRI จะมีราคาสูงกว่าการเอกซเรย์ทั่วไป แต่ในบางกรณี การตรวจเพียงครั้งเดียวอาจช่วยประหยัดเวลา ประหยัดค่ารักษาที่ไม่ตรงจุด และลดความทุกข์ทรมานจากอาการเรื้อรังที่แก้ไม่หายซักที
ดังนั้น ถ้าหมอแนะนำให้ตรวจ MRI อย่าเพิ่งตกใจครับ
มันไม่ได้แปลว่าคุณเป็นโรคร้ายแรงเสมอไป
แต่เป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้การรักษา "ตรงจุดและแม่นยำขึ้น"
หากคุณมีอาการปวดเรื้อรังที่ไม่ดีขึ้น หรือรักษามาหลายทางแล้วยังไม่หาย ลองปรึกษาแพทย์เฉพาะทางดูครับ ว่าการตรวจ MRI จะช่วยให้เห็นต้นเหตุของโรคชัดขึ้นไหม เพราะการวินิจฉัยที่แม่นยำ คือจุดเริ่มต้นของการรักษาที่ถูกทาง
#MRIช่วยอะไรเรา
#หมอเก่งกระดูกและข้อ
#รักษาปวดได้ไม่ต้องผ่าตัด
#ปวดเรื้อรังอย่าทนเจ็บ
MRI คืออะไร? ทำไมหมอถึงส่งตรวจ และมันอันตรายไหม?”